หุ้น SCGP และ OR ราคาขยับขึ้น ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก
เมื่อเวลา 12.24 น.หุ้น SCGP บวก 1.30% มาอยู่ที่ 58.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,210.03 ล้านบาท
ส่วนหุ้น OR บวก 0.85% มาอยู่ที่ 29.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 959.67 ล้านบาท
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะนำหุ้น บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) และ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หลังจากที่ได้เป็นหุ้นที่เข้าใหม่ FTSE All World Index
ทั้งนี้ SCGP ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท/หุ้น ประกาศเข้า FTSE All World Index แล้วในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา คาดมีเม็ดเงินไหลเข้าราว 75 ล้านเหรียญ (Rebalance 18 มิ.ย.) เป็นประเด็นบวกเพิ่มเติม หลังจากเข้า MSCI รอบนี้ (27 พ.ค.) นอกจากนี้ คาดกำไรเติบโตเด่น +16%CAGR ปี 64-66 อีกทั้งเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดที่ธุรกิจมั่นคงและแข็งแรงมาก และเป็นรายใหญ่สุดในอาเซียน ที่โอกาสเติบโตยังสูงจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้ E-commerce และ Food delivery มากขึ้น รวมถึง การทำ M&A ซึ่งมี Track record ที่ดี
SCGP เป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดใน South East Asia มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีเงินทุนจำนวนมากสำหรับขยายกำลังการผลิตและเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม จะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและตลาดใหม่ๆ โดยคาดกำไรปกติไตรมาส 2/64 ยังต่อต่อเนื่อง y-y จากฐานต่ำในไตรมาส 2/63 ที่มีปิดโรงงาน และประเมินกำไรปี 64 โต +40%y-y ที่ 9,068 ลบ. ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และรับรู้รายได้จาก SOVI และ Go-pak เต็มปี อีกทั้งยังมี upside ราว 3 บาท/หุ้น จากการเข้าซื้อหุ้น Duy Tan (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกในเวียดนาม) และ 1 บาท/หุ้น จาก Intan (ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในอินโดนีเซีย) ที่คาดว่าจะปิดดีลได้ในช่วงกลางปี 64
ส่วน OR แนะ"เก็งกำไร" ถูกนำเข้า FTSE All World Index คาดเม็ดเงิน 90 ล้านเหรียญ มีผลราคาปิด 18 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ OR เป็นผู้นำในกลุ่มปั๊มน้ำมัน และกลยุทธ์กระจายรายได้และกำไรสุ่ธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้น แผนงานยังเป็นเชิงรุกทั้งการขยายปั๊ม (รวม EV station) ราว 100 แห่ง และ Non oil (Amazon, Texas chicken ฯลฯ) และโอกาสทำ JV/M&A โดยรวมประเมินกำไรปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท +14%