นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมายกำไรสุทธิปี 64 เติบโต 30-40% จากเป้าหมายเดิม 20-25% จากปีก่อนที่ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 318 ล้านบาท
แนวโน้มไตรมาส 2/64 มีทิศทางผลประกอบการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา และเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากคำสั่งซื้อของลูกค้าเดิมเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อในมือแล้วที่ 450 ล้านบาท
ขณะนี้สัดส่วนตลาดส่งออกปัจจุบันยังคงเน้นไปที่ตลาดยุโรป 80% ตลาดเอเชีย 5-6% ตลาดออสเตรเลียและโอเชียเนีย 5-6% ตลาดสหรัฐอเมริกา 1% และตลาดแอฟริกา 1% โดยตลาดในยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก ยกตัวอย่างตลาดเยอรมนี ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีสินค้าของบริษัทเพียง 1-2 รายการ จากปกติสามารถมีได้ถึง 15-20 รายการ เพราะฉะนั้นยังมีโอกาสที่จะเติมสินค้าเข้าไปได้อีก
ด้านตลาดที่จีน มีการจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) เพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์ใหญ่ๆ เช่น วอลมาร์ท เป็นต้น ซึ่งในปีนี้มีการวางงบลงทุนจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) ไว้ที่ 10-15 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ปัจจุบันจ่ายไปแล้วประมาณ 25% เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้กับบริษัท กระตุ้นยอดขายให้เติบโต
และทางบริษัทยังคงมองการขยายตลาดใหม่เพิ่มอยู่ตลอด ซึ่งปกติจะมีการเดินทางไปงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ 15-18 งานในทุกปี แม้ปัจจุบันจะไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่หากสถานการณ์คลี่คลาย คาดว่าจะมียอดขายจากงานดังกล่าวเพิ่มเข้ามาในอนาคตอีกด้วย
ในปีนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการผลักดันสินค้ากลุ่มซอส ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้ทั้งหมด เป็นสินค้ากลุ่มหลักที่มีกำไรสูงที่สุด โดยล่าสุดมีสินค้าที่ทุกคนติดตามอยู่คือ ซอสศรีราชากัญชง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการพัฒนาสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้กับลูกค้า คาดว่าจะสามารถส่งออกได้ภายในปีนี้ และสินค้าอื่น ๆ ก็จะมีทยอยออกมาเรื่อย ๆ
ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตไป 70% ซึ่งหากคำนวณจากยอดขายในไตรมาส 2/64 ที่ 450 ล้านบาท จะต้องใช้กำลังการผลิตถึง 80% อาจจะต้องเพิ่ม Production Line คาดว่าจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท โดยไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดินหรืออาคารโรงงานใหม่ เพราะมีพื้นที่เหลืออยู่แล้ว จะลงทุนเพียงแค่ในส่วน Production Line เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ด้านราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไม่ส่งผลกระทบกับทางบริษัท โดยวัตถุดิบสำคัญ 3 ชนิดของบริษัท คือ น้ำตาล พริก และกระเทียม ซึ่งทางบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาและกำหนดราคาซื้อขายวัตถุดิบทุกชนิดเป็นที่เรียบร้อยไปจนถึงปลายปี 65 แล้ว
นายจิตติพร กล่าวถึงทิศทางของเงินบาทว่าไม่มีปัญหากับทางบริษัท โดยบริษัทส่งออกในรูปเงินบาท 75% ซึ่งทำให้ไม่มีความเสี่ยงเลย เนื่องจากบริษัทขายยี่ห้อตัวเองเป็นหลัก ทำให้มีอำนาจในการต่อรอง
"โควิด-19 ช่วยให้คนประกอบอาหารที่บ้านมากขึ้น ให้อานิสงส์กับกลุ่มผู้ที่ขายสินค้าเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสินค้าของทางบริษัท 98% เป็นสินค้าไซส์เล็กที่ขายเข้าซุปเปอร์มารเก็ต ไม่ใช่ที่ร้านอาหาร ทำให้สินค้าของบริษัทมีคนสนใจเพิ่มขึ้น และแม้โควิด-19จบลง ก็ยังคงเป็นผลดีกับบริษัทต่ออยู่ดี เพราะสามารถเดินทางไปงานแสดงสินค้าในต่างประเทศได้ ซึ่งจะทำให้มียอดขายเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต"นายจิตติพร กล่าว