โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เล็งผลดำเนินงานไตรมาส 2/64 เติบโตดีขึ้น จากโครงการโซลาร์ในประเทศเวียดนาม และจากการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม (IU) ในประเทศ และจากการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมทั้งคาดว่าจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าดังที่เกิดขึ้นในงวดไตรมาส 1/64 พร้อมเชื่อผลประกอบการได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว
ในช่วงครึ่งหลังของปี 64 คาดกำไรปกติอาจประคองตัวได้ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการ Bo Thong 1&2 ได้เต็มไตรมาสครั้งแรก รวมถึงคาดโครงการ U-Tapao solar กำลังการผลิตตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น 100% ที่ 15 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะ COD ได้ตามแผนภายในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนแผนการนำเข้าแก๊สธรรมชาติ LNG-Shipper license คาดจะเริ่มทยอยนำเข้าได้บางส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงคาดจะเป็นส่วนช่วยชดเชยให้กับต้นทุนแก๊สธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังได้บ้างเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังคาดว่า BGRIM จะเข้าซื้อกิจการในปี 64 ราว 1-2 โครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายกำลังการผลิต 2,500-3,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 1,900 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ทางผู้บริหารกำลังศึกษาเข้าลงทุนทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดจะได้ข้อสรุปชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน
หุ้น BGRIM ปิดเช้าที่ 40.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.62%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดพุ่ง 15.01 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 65.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 60.50 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 58.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 55.00 เคทีบีเอสที ซื้อ 55.00 คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 55.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 52.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 50.00
นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/64 คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงไตรมาส 1/64 ได้ โดยประเมินว่าจะสามารถทำกำไรได้ที่ราว 650 ล้านบาท เติบโตค่อนข้างมากหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานที่ต่ำ ทั้งนี้ได้ปัจจัยหนุนจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม (IU) ที่เริ่มกลับมา และจากการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)
ส่วนภาพรวมทั้งปีมองว่าโครงการใหม่ ๆ ที่จะเข้ามายังไม่หวือหวามาก ประกอบกับแนวโน้มราคาแก๊สธรรมชาติในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่ในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวขึ้นมา แต่มองว่าประเด็นต้นทุนราคาแก๊สธรรมชาติได้สะท้อนไปยังราคาหุ้นปัจจุบันแล้ว
สำหรับโครงการใหม่ในประเทศที่สำคัญในการผลักดันผลประกอบการปีนี้คือโครงการที่ BGRIM ร่วมกับบมจ.ยูนิเวนเจอร์ (UV) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป มีขนาดกำลังการผลิตราว 200 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการใหม่ ๆ ในต่างประเทศคาดว่าจะมีความล่าช้า แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะสามารถเดินหน้าได้อีกครั้ง
พร้อมกันนี้คาดว่าจะมีลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาและพร้อมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปีอีกราว 40-50 เมกะวัตต์ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะผลักดันกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง และสามารถลดทอนผลกระทบราคาแก๊สธรรมชาติที่จะปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณอ่อนตัวของราคาน้ำมัน ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการของ BGRIM น่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้าง Underperform และเชื่อว่าน่าจะมี Downside จำกัด
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดกำไรปกติปี 64 ของ BGRIM จะเติบโตราว 21.5% จากปีที่แล้ว หลังจากต้นทุนแก๊สเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง 4.5% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 234 บาท/ล้านบีทียู และรับรู้โครงการเดิมปี 63 ได้เต็มปี ประกอบกับรับรู้โครงการใหม่ ๆ ในปี 64 อีกราว 29.8 เมกะวัตต์
สำหรับในระยะสั้นคาดทิศทางกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาส 2/64 จะเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากรายได้ขายไฟฟ้าของทางภาครัฐที่คาดจะเติบโตขึ้นตามช่วงฤดูกาล อีกทั้งคาดว่าจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าดังที่เกิดขึ้นในงวดไตรมาส 1/64 และรายได้จากการขายไฟฟ้าแก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมคาดจะยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Bo Thong 1&2 กำลังการผลิตตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น 92.2% ที่ 14.8 เมกะวัตต์ได้ในไตรมาสแรก
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 64 คาดกำไรปกติอาจประคองตัวได้ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดจะมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการ Bo Thong 1&2 ได้เต็มไตรมาสครั้งแรก รวมถึงคาดโครงการ U-Tapao solar กำลังการผลิตตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น 100% ที่ 15 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะ COD ได้ตามแผนภายในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนแผนการนำเข้าแก๊สธรรมชาติ LNG-Shipper license คาดจะเริ่มทยอยนำเข้าได้บางส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงคาดจะเป็นส่วนช่วยชดเชยให้กับต้นทุนแก๊สธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังได้บ้างเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังคาดว่า BGRIM จะเข้าซื้อกิจการในปี 64 ราว 1-2 โครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายกำลังการผลิต 2,500-3,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 1,900 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ทางผู้บริหารกำลังศึกษาเข้าลงทุนทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดจะได้ข้อสรุปชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน
สำหรับบล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/64 จะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากผลงานที่ดีขึ้นจากโครงการโซลาร์ในประเทศเวียดนามและจากการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้า IU ในประเทศ
ขณะเดียวกันผลประกอบการในปี 64 ยังคงมีแนวโน้มที่เป็นบวก โดยมีกำไรต่อหุ้นที่เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากการรับรู้กำไรเต็มปีและกำไรบางส่วนจากโครงการต่าง ๆ 148 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะ COD ในช่วงปี 63-64 ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวของโรงไฟฟ้า SPP
นอกจากนี้บริษัทวางแผนที่จะขยายพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 7.2 กิกะวัตต์ ภายในปี 68 โดยคาดว่าจะมีการซื้อโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี 64 ซึ่งในการได้มาเพิ่มในแต่ละ 100 เมกะวัตต์จะส่งผลให้มี Upside เพิ่มขึ้นที่ 2.4 บาทต่อหุ้น