นางสาวรุ่งฟ้า ลาภยืนยง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทว่าคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 จะดีกว่าไตรมาส 1/64 และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทได้รับงานโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟเพิ่มขึ้นหลายโครงการ จากที่ก่อนหน้านี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการรับงานชะลอตัว
ดังนั้น ขณะนี้บริษัทก็จะมุ่งเน้นการทำตลาดลีสซิ่งให้กับลูกค้าที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเข้ามาช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธุรกิจดังกล่าวในไตรมาส 2/64 ให้เติบโตดีขึ้น
ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้า และพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่าง SPCG กับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ด้วยการจัดตั้งบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด
โครงการดังกล่าวคาดว่าจะทยอยผลิตเฟสแรก 300 เมกะวัตต์ เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 1/65 เลื่อนออกไปจากเดิมทีกำหนดไว้ในไตรมาส 4/64 เนื่องจากเกิดความติดขัดจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การขออนุญาตต่าง ๆ ล่าช้าออกไป และคาดว่าจะ COD ครบ 500 เมกะวัตต์ ในอีก 2 ปีข้างหน้า
น.ส.รุ่งฟ้า กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตเป็น 5,500 ล้านบาทในปีนี้ จากเป้าหมายการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 385 ล้านหน่วย จาก 36 โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ได้ COD ไปแล้ว รวมถึงการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการขยายโครงการลงทุนใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันธุรกิจการติดตั้งโซลาร์รูฟคาดจะมีรายได้ในปีนี้ราว 700 ล้านบาท เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขายทั้งโปรเจ็คค์และการทำลีสซิ่ง