นายภนพินิต อุปถัมภ์ หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายบริหารการเงิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากการทยอยฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้เร็ว หลังหยุดชะงักไปมากจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน บริษัทก็เตรียมเปิดให้บริการศูนย์การค้าแห่งใหม่อีก 2 แห่งตามแผนงานที่กำหนดไว้ ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา (Centralplaza Ayutthaya) คาดจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/64 และเซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (Centralplaza Siracha) จะเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นไตรมาส 4/64 แต่คาดว่าการรับรู้รายได้น่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (Central Plaza Chanthaburi) คาดจะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 65 และโครงการ Dusit Central Park (ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบมจ.ดุสิตธานี (DTC) ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปี 66-67
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ และการประเมินมูลค่าโครงการ คาดว่าในช่วงปลายไตรมาส 2/64 หรือช่วงต้นไตรมาส 3/64 จะเริ่มเห็นรายละเอียดเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปิดโครงการใหม่ดังกล่าวคาดว่าจะสนับสนุนให้ปีนี้มียอดโอนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
ณ สิ้นไตรมาส 1/64 บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย จำนวน 18 โครงการ มียอดขายรอโอน (Backlog) จำนวน 2,600 ล้านบาท คาดจะสามารถทยอยส่งมอบในปีนี้บางส่วน
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นคาดจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 64 เติบโตกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 33,161.11 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 9,557.10 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 9,860.03 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,834.66 ล้านบาท
นายภนพินิต กล่าวว่า การร่วมลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (โครงการมิกซ์ยูส : Mixed-use) บนถนนวิทยุ ประกอบด้วยโครงการศูนย์การค้า 1 อาคาร สูง 8 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 70,000 ตารางเมตร และโครงการอาคารสำนักงาน 2 อาคาร สูง 36 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 140,000 ตารางเมตร บริษัทได้วางงบลงทุน (เฉพาะในส่วนของ CPN) เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการดังกล่าวไว้ราว 1.4 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5-6 ปี นับจากปีนี้
อนึ่ง การร่วมลงทุนในโครงการ Mixed-use ดังกล่าว CPN ถือหุ้นในสัดส่วน 25% ,กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป (ไม่รวมในส่วนที่เซ็นทรัลพัฒนาลงทุนอยู่) ถือหุ้น 26% และกลุ่มฮ่องกงแลนด์ ถือหุ้น 49%
ด้านบมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GRAND) บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากอาคารสำนักงานมีความผันผวนน้อยกว่าธุรกิจค้าปลีกหรือศูนย์การค้า โดยยังสามารถรักษาระดับอัตราการเช่า (Occupancy) อยู่ที่ 90% ส่วนที่พักอาศัยคอนโดมิเนียม ยังมียูนิตที่รอการขายและโอนซึ่งเป็นเพนท์เฮ้าส์ขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง โดยจะเริ่มทำการตลาดช่วยส่งเสริมการขายในช่วงที่เหลือของปี
พร้อมกันนี้ GRAND ยังมีที่ดินรอการพัฒนา 4 แปลง ได้แก่ พื้นที่พระราม 9, พหลโยธิน ซึ่งมีโอกาสพัฒนาเป็นโครงการ Mixed-use และพื้นที่ดอนเมืองจะเป็นที่พักอาศัย และถนนกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นที่พักอาศัย
สำหรับการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศเวียดนาม คาดว่าในช่วงปลายปี 64 หรือต้นปี 65 จะเห็นความชัดเจนในการขยายการลงทุนดังกล่าวมากขึ้น