นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/64 เติบโตและสามารถทำกำไรต่อเนื่องจากไตรมาส 1/64 เนื่องจากบริษัทมีปริมาณงานในมือ (Backlog) ราว 1,616.58 ล้านบาท ประกอบกับมีแรงงานเพียงพอกับปริมาณงาน แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอาจจะปรับตัวลดลง หลังจากบริษัทรับงานน้อยลงตามสภาพเศรษฐกิจ
สำหรับงานในมือดังกล่าวบริษัทคาดจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ ยกเว้นโครงการใหญ่ที่อาจมีการรับรู้ในปีหน้า แบ่งเป็น งานในประเทศ 97% คิดเป็นมูลค่าราว 1,565.33 ล้านบาท และมีงานค้างอยู่ที่ประเทศเมียนมา 3% คิดเป็นมูลค่า 51.25 ล้านบาท โดยปริมาณงานทังหมดเป็นโครงการจากเอกชน 86% มูลค่า 1,464.86 ล้านบาท และโครงการจากภาครัฐ 14% มูลค่า 151.72 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ในประเทศเมียนมาที่มี Backlog ค้างอยู่นั้น เนื่องจากยังไม่อนุญาตให้ดำเนินงานใดๆ ทางบริษัทจึงต้องหยุดการทำงานทั้งหมด ทั้งนี้หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และการรัฐประหารยืดเยื้อเกินไป บริษัทอาจต้องพิจารณาการดำเนินงานว่าจะไปต่อหรือยกเลิก อย่างไรก็ตามหากมีการยกเลิกโครงการจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างเป็นนัยยะสำคัญ เนื่องจากคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3% เท่านั้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นประมูลงาน (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 - 25 พ.ค. 64) มูลค่ารวม 2,121 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการจากภาคเอกชน 27 โครงการ มูลค่า 1,469.5 ล้านบาท และโครงการจากภาครัฐอีก 14 โครงการ มูลค่า 651.5 ล้านบาท (ไม่รวมงานเมกะโปรเจ็คต์ภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟฟ้ารางคู่) โดยงานที่ยังไม่ประกาศทั้งหมด 1,753 ล้านบาท บริษัทคาดหวังจะได้รับงานประมาณ 600 ล้านบาท
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีแรงงานอยู่ประมาณ 300-400 คน เนื่องจากไม่สามารถนำแรงงานต่างชาติเข้ามาในประเทศได้ โดยก่อนหน้านี้บริษัทอาศัยแรงงานบัตรสีชมพู หรือแรงงานที่ตกงานมาเพิ่มมาประมาณ 30-40 คน แต่ขณะนี้บัตรสีชมพูหมดเขตตามที่กำหนดแล้ว บริษัทจึงไม่สามารถหาแรงงานเพิ่มได้อีก อย่างไรก็ตามแรงงานที่มีอยู่ในขณะนี้ยังเพียงพอต่อปริมาณงานที่มี แต่คงไม่สามารถรับงานเพิ่มในปริมาณมากๆ ได้ จึงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ลดน้อยลง
ขณะที่ราคาวัตถุดิบเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร เนื่องจากบริษัทได้มีการล็อคราคาวัตถุดิบก่อนแล้ว