ดัชนีกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยับขึ้น 2.92% มาอยู่ที่ 7,974.33 จุด เพิ่มขึ้น 226.53 จุด เมื่อเวลา 14.46 น. นำโดยหุ้น HANA พุ่ง 10.37% มาอยู่ที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 3,003.33 ล้านบาท
หุ้น KCE พุ่ง 6.36% มาอยู่ที่ 75.25 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,992.15 ล้านบาท
หุ้น CCET พุ่ง 5.39% มาอยู่ที่ 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท มูลค่าซื้อขาย 252.70 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า อุตสาหกรรม Semiconductor ยังเติบโตแกร่ง จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 สนับสนุนจากพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีน และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณปี 2565 ของสหรัฐฯที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ และแผนยุทธ์ศาสตร์ 5 ปี ของจีนที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนหนุนความต้องการในสินค้า Semiconductor เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง จากในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ขยายตัวเด่น +17.8% YoY และ 3.6% QoQ โดยจีนและสหรัฐฯเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดรวมกันประมาณ 50% ของความต้องการทั้งโลก
พร้อมแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) จัดให้เป็นหุ้นเด่นสำหรับธีมในสัปดาห์นี้ คาดกำไรไตรมาส 2/64 มีแนวโน้มขยายตัว QoQ และ YoY จากการเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน มิ.ย. และขยับขึ้นสู่ระดับเต็มกำลังการผลิตในครึ่งปีหลัง(H2/64) ซึ่งมีลูกค้ารองรับอยู่แล้วประมาณ 90% ในปัจจุบัน และได้ประโยชน์มากที่สุดจากทิศทางเงินบาทที่อ่อนค่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสเติบโตใหม่ ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน Power management เป็นสินค้าที่ความต้องการสำหรับแนวโน้มในอนาคตทั้ง EV, สินค้า 5G โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาในประเทศเกาหลีก่อนเริ่มจำหน่ายในไตรมาส 3-4 ปี 64
ด้าน Valuation ปัจจุบันเทรดเพียง 2564 Forward PE ที่ 23x ถูกกว่า regional peers ที่ 30x และ KCE, DELTA ที่ 40x และ 88x ตามลำดับ