นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 3,000 ล้านบาทภายในปี 67 คาดว่าอาจจะทำได้เร็วกว่าที่ตั้งเอาไว้ หลังจากกระแสความนิยมด้าน Plant-Based Food ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติและมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐอมเริกา ซึ่งเป็นรายได้หลักประมาณ 40-45% ของบริษัท ตลาดยุโรป 30% และส่วนที่เหลืออยู่ในตลาดเอเชีย เช่น จีน ก็ทยอยฟื้นตัวเช่นกัน
ส่วนธุรกิจกัญชงแบ่งธุรกิจได้เป็น 2 ส่วน คือ 1.) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสารเทอร์พีน ปัจจุบันมีการร่วมกับพันธมิตรคือTrueterpenes บริษัทชั้นนำ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเทอร์พีนรายใหญ่ของโลก ปัจจุบันเริ่มมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว และ 2) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง ปัจจุบันกำลังนำเข้าอุปกรณ์ และเสื้อผ้าที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกัญชง ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ด้านธุรกิจปลูกกัญชงได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ภายใต้แบรนด์ GTH ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนของรายได้หลังไตรมาส 3/64 รวมไปถึงได้พันธมิตรสำคัญในวงการกัญชงระดับโลกซึ่งจะเปิดเผยภายในสัปดาห์หน้าอีกด้วย
สำหรับธุรกิจ Plant-Based Food คาดว่าในปี 65 จะมีกำลังการผลิตเต็มที่ 41,000 ตันในประเทศไทย จีน และฝั่งยุโรป พร้อมทั้งกำลังมองหาโรงงานที่จะซื้อเพิ่มในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังผลิตสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ Plant-Based Food ได้
ทั้งนี้ บริษัทลงทุนใน Wicked Food ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ดำเนินธุรกิจขายอาหารและสินค้า Plant-based อย่างครบวงจร เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศอังกฤษ ซึ่งทางบริษัทวางแผนจะนำแบรนด์นี้เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและเอเชียอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งบริษัท Nove eats ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เป็น Plant-based โดยวางแผนจะตั้งสาขาแรกในเมืองไทยอีกด้วย
ประกอบกับออเดอร์ในธุรกิจ Ethnic Food ยังคงเติบโต เริ่มมีออเดอร์ล่วงหน้าเข้ามาแล้วประมาณ 2-3 เดือน แม้ว่ารายได้ในไตรมาส 1/64 จะดีเลย์ไป 8-10% จากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และเรือ แต่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายได้ในไตรมาส 2 และ 3
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้ผลิตสินค้า OEM ที่มีลักษณะพิเศษและโดดเด่น ปัจจุบันการผลิต OEM คิดเป็น 60-70% ของรายได้ โดยในปีนี้คาดว่าจะออกสินค้าใหม่อีก 60 ไอเท็ม ซึ่งจะเห็นผลเรื่องของยอดขายในช่วงปีหน้า
ด้านโรงงานใหม่ในประเทศอังกฤษ ติดปัญหาเรื่องของการตรวจสอบที่ล่าช้า ทำให้ไม่สามารถขึ้นโรงงานใหม่ได้ตามกำหนด คาดว่าจะสามารถผลิตเต็มกำลังได้ในเดือน ก.ค.นี้ ด้านโรงงานในประเทศไทยจะมี Capacity ที่ 6,000 ตัน โดยเดิมตั้งใจจะเริ่มผลิตในไตรมาสแรกแต่ปัจจุบันมีความล่าช้า อาจจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 2 หรือ 3
นอกจากนี้ธุรกิจ E-commerce คาดว่าปีนี้จะปิดได้อีกประมาณ 3-4 ดีล โดยทางบริษัทให้ความสำคัญในทุกดีลไม่ว่าจะเป็น ดีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพื่อพยายามสร้างพอร์ตโฟลิโอของบริษัท