นายปิยวัตร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บมจ.ดู เดย์ ดรีม (DDD) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะรายได้ในไตรมาส 2/64 น่าจะปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่เดือนเม.ย.46 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) และยังกระทบต่อการออกสินค้าใหม่ในหลายผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะออกมาในไตรมาส 2 นี้ ต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจาก Sentiment ของตลาดยังชะลอตัว ยกเว้นบางผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับช่วงนี้ เช่น ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิว เนื่องด้วยปัญหาของการใส่หน้ากากอนามัยทำให้เกิดสิวอุดตัน
นอกจากนั้น บริษัทยังได้รับผลกระทบจากการที่ประเทศฟิลิปปินส์มีการล็อกดาวน์เนื่องจากยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ค่อนข้างมาก
นายปิยวัตร กล่าวว่า DDD ก็พยายามกระจายความเสี่ยงไปในหลายช่องทาง นอกจากช่องทางโมเดิร์นเทรดหรือร้านขายยาต่างๆ ที่เป็นช่องทางหลัก โดยมามุ่งเน้นออนไลน์มากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Snail white, Oxecure ก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของยอดขายสกินแคร์ในช่องทางต่างๆ ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค อย่าง shopee, lazada เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมนำสินค้ายาสีฟัน Sparkle ไปวางขายในประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมิ.ย.นี้ โดยหวังว่าการปรับไปขายผ่านช่องทางออนไลน์ และการเปิดตัวที่มีประสิทธิภาพน่าจะช่วยให้ยอดขายของ Sparkle เป็นไปด้วยดี เทียบกับ 2 แบรนด์หลักที่เข้าไปในช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 25-30% จากปีก่อน โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังภาพรวมผลการดำเนินงานน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยได้อีกครั้ง ประกอบกับ บริษัทยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเน้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, ผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องทำงานจากที่บ้าน หรืออยู่บ้านกันมากขึ้น เช่น Lesasha Natural Hair Mask เป็นต้น รวมถึงจะมุ่งเน้นไปยังผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมากขึ้นด้วย โดยอยู่ระหว่างร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาสูตรร่วมกัน คาดว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะที่แผนการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างพิจารณาตลาดหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน
นายปิยวัตร กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ (M&A) มากกว่า 1 ดีล โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้ 1 ดีล ส่วนความคืบหน้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาและกัญชง ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างศึกษาร่วมกันกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาแก้ปัญหาเรื่องผิวของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าภายในปีนี้
"เรายังคงเป้าหมายรายได้ที่ 25-30% แม้ไตรมาส 2/64 จะเป็นไตรมาสที่เราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าจะเจอกับปัญหาโควิด-19 และยังมองไม่เห็นว่าปัญหานี้จะไปจบเมื่อไหร่ แต่หากมีการฉีดวัคซีนมากขึ้นก็อาจมีการคลายล็อกดาวน์ มีการคลายมาตรการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อการจับจ่ายใช้สอยน่าจะดียิ่งขึ้น โดยคาดไตรมาส 3/64 จะเริ่มเห็นสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ สอดคล้องกับการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามยังขอยึดเป้าหมายเดิมไว้ก่อน และจะมีการพิจารณาอีกครั้งในครึ่งปีนี้" นายปิยวัตร กล่าว