นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทคาดอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปี 64 จะทำได้ใกล้เคียงช่วงไตรมาส 1/64 ที่ 12.82% สูงกว่าปี 63 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีที่ 10.56% โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถจำหน่ายยางได้ในราคาที่สูงขึ้น หลังจากที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงหนุนให้ความต้องการใช้ถุงมือยางอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ยังมีการสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ยางพารา (Demand) เพิ่มมากขึ้น แต่ในส่วนของอุปทานยางพารา (Supply) ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม หนุนราคายางพาราจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างน้อย 5 ปี
"เรามองว่าราคายางจะมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี ซึ่ง Supply จะเพิ่มขึ้นได้อย่างเร็วคือ 7 ปี เพราะต้นยางใหม่ต้องใช้ระยะเวลาในการปลูก และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการถุงมือยางอยู่ในระดับสูงอยู่ ในขณะเดียวกันการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตด้วย"นายชูวิทย์ กล่าว
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปียังดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทได้ทำสัญญาจำหน่ายยางไปแล้วถึงช่วงไตรมาส 4/64 ส่งผลให้บริษัทมั่นใจยอดขายจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 440,000 ตัน และมีรายได้ 24,450 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังใช้กลยุทธ์ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งการลดค่าใช้จ่ายคงที่และลดการใช้พลังงาน การให้ความสำคัญต่อกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการฟื้นตัวสูง สะท้อนให้เห็นจากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา