AOT หวั่นกำไรปี 50 วูบหากจ่ายภาษีเงินได้จากคิงเพาเวอร์ฯ 750 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 3, 2007 17:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นางกัลยา ผกากรอง รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท.เปิดเผยว่า กรมสรรพากรยืนยันเรียกเก็บภาษีจากรายได้ในส่วนที่บริษัทจะได้รับจากบริษัท คิงเพาเวอร์อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด แต่ยังเป็นรายได้ที่บริษัทยังไม่เกิดขึ้นจริง เพราะอยู่ระหว่างขั้นตอนทางกฎหมายให้สัญญาเป็นโมฆะ ซึ่งจะทำให้ทอท.สามารถยึดเงินหลักประกันของคิงเพาเวอร์ฯ ได้
ทั้งนี้ รายได้จากคิงเพาเวอร์ฯ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา(ต.ค.49-มิ.ย.50) กำหนดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท หากคิดภาษีในอัตรา 25% ของรายได้ จะคิดเป็นเงินประมาณ 750 ล้านบาท ขณะที่ในงวดเดียวกันบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ดังนั้น หากกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจริงจะทำให้กำไรของบริษัทปีนี้ลดลงไปมาก แต่จะไม่ถึงขาดทุน
“การต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เรายังไม่รับรู้ ถามว่าจะเป็นธรรมกับนักลงทุน และพนักงานบริษัทหรือไม่ เพราะเมื่อต้องเสียภาษีในขณะที่ไม่มีรายได้ ย่อมส่งผลให้กำไรรวมลดลง ซึ่งระหว่างนี้ ทอท.อยู่ระหว่างการพยายามเพื่อหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งยังมีเวลาจนถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ก่อนที่จะปิดงบการเงินประจำปีและให้ สตง.(สำนักงานตรวจสอบแผ่นดิน)ตรวจสอบ" นางกัลยา กล่าว
อนึ่ง ทอท.จะเสียภาษีในอัตรา 25% ของกำไร บวกกับการเสียภาษีในอัตรา 25% ของรายได้จากบริษัท คิงเพาเวอร์ฯ
ส่วนกรณีที่พล.อ.ท.ชนะ อยู่สถาพร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT นั้น นางกัลยา มั่นใจว่าจะสามารถบริหารองค์กรได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ส่วนตนเองจะทำหน้าที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จนถึงวันที่
5 ต.ค.นี้ แต่ยังดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานแผนงานและการเงิน
ในวันนี้ นางกัลยา ได้เป็นประธานมอบเงินค่าชดเชยแก่วัดบำรุงรื่น จำนวน 13.9 ล้านบาท โดยวัดดังกล่าวได้รับผลกระทบทางเสียง และอยู่ในพื้นที่ผลกระทบด้านเสียง NEF 30-40 ซึ่งเงินค่าชดเชยนี้จะช่วยในด้านการบูรณะซ่อมแซมและปรับปรุงศาสนสถานให้มีความคงทนถาวร เพื่อให้วัดบำรุงรื่นซึ่งเป็นวัดที่มีอายุยาวนานกว่า 117 ปี คงเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าต่อไป
นางกัลยา กล่าวว่า ภายในต้นเดือนตุลาคมนี้ การสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเสียงจำนวน 150 หลังคาเรือนจะแล้วเสร็จ หลังจากนั้นจะได้เจรจากับประชาชนเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเพื่อกำหนดแนวทางการเจรจา ต่อไปจากนั้นการสำรวจและเจรจากับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเริ่มมีความคืบหน้าตามลำดับ
ส่วนกรณีมติคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่ายระบุให้ ทอท. รับซื้อสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในพื้นที่ผลกระทบด้านเสียง NEF 30-40 นั้น จะต้องนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. เพื่อพิจารณาก่อน เพราะมีเรื่องของงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้อง หาก ทอท. ไม่สามารถรับข้อเสนอดังกล่าวได้ก็จะได้หารือกับกระทรวงคมนาคมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ