น.ส.รตินันทน์ วงศ์วัชรานนท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและพัฒนาความยั่งยืน บมจ.ไทยวา (TWPC) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2/64 คาดเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว เนื่องจากราคาแป้งข้าวโพดปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังและจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่ 3 ในประเทศไทยนี้ ไม่ได้กระทบกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน
ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารในไตรมาส 2/64 ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางการขาย อย่าง Wholesale และหน่วยรถเงินสด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หรือคนละครึ่ง, เราชนะ,ม.33 และปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14%
น.ส.รตินันท์ กล่าวว่า ในไตรมาส 2/64 ธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVA) และธุรกิจอาหาร คาดจะยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 20-30% ส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คาดมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15-20% ลดลงในช่วงโลว์ซีซั่น ขณะที่ธุรกิจกลูโคสไซรัปยังเติบโตได้ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก (Double digit) จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,181.77 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/64 มีรายได้รวมแล้ว 2,186.38 ล้านบาท มาจากการเติบโตของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจประกอบด้วยธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง (Native), ธุรกิจอาหาร (Food) และธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (HVA)
นอกจากนี้ บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงที่เหลือของปีให้อยู่ในระดับ 15-20% จากต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่จะลดลง เนื่องจากมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะลดลงจากไตรมาส 1/64 ที่บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 22.7% เนื่องจากเป็นช่วงโลซีซั่นของหัวมัน
น.ส.รตินันทน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยจะผลิตสินค้าประเภทไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากพืชผลทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในไตรมาส 4/64 จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ทันที และจะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ การขยายกำลังการผลิต สินค้าพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อย่างสาคู, แป้งหยาบ และแป้งคุณภาพสูง, การทำแป้งไทยวาในกัมพูชา (เฟส 2), โครงการประหยัดพลังงาน และธุรกิจพลาสติกชีวภาพ รวมถึงการซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจผลิตภัณฑ์แป้ง และอาหารที่เกี่ยวข้องกับแป้ง โดยเน้นธุรกิจในประเทศไทย และ CLMV
ส่วนงบลงทุนในปี 64 บริษัทวางไว้ที่ 300-400 ล้านบาท แบ่งเป็น บำรุงรักษาประจำปี จำนวน 100-150 ล้านบาท, ปรับปรุงประสิทธิภาพและโครงการประหยัดพลังงาน (โซลาร์รูฟท็อป เฟส 2) จำนวน 40 ล้านบาท, ขยายกำลังการผลิตในสายการผลิตธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (HVA) จำนวน 50 ล้านบาท และใช้ในธุรกิจใหม่ ไบโอพลาสติก จำนวน 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในส่วนอื่นๆ