บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ที่ระดับ "BB"
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทที่ระดับ "BBB-" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวไปทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนตุลาคม 2564 และเดือนกุมภาพันธ์ 2565
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมและสัดส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ในระดับสูงและความกังวลต่อผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ยืดเยื้อซึ่งจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อความต้องการที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
ทริสเรทติ้งมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังได้รับแรงกดดันต่อไปตลอดทั้งปี 2564 เนื่องจากความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมจากทั้งผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติยังคงชะลอตัวซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเท่ากับ 4.5 พันล้านบาทในปี 2564 และปรับดีขึ้นเป็น 5.5-6.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้ ยังคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2564 เนื่องจากคาดการณ์ว่าบริษัทไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะปรับดีขึ้นเป็นประมาณ 1.5-2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 1.43 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย ยอดขายรอการรับรู้รายได้จากโครงการร่วมทุนมูลค่า 1.34 หมื่นล้านบาท และจากโครงการของบริษัทเองมูลค่า 0.9 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 3.9 พันล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2564 มูลค่า 9.4 พันล้านบาทในปี 2565 และมูลค่า 1 พันล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากบริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ที่น้อยลง ดังนั้นรายได้และกำไรของบริษัทจะต้องพึ่งพาความสามารถในการขายยูนิตที่สร้างเสร็จเหลือขายเป็นอย่างมาก โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จเหลือขายมูลค่า 2.66 หมื่นล้านบาท
แม้ว่าบริษัทจะยังคงได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุน แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโครงการร่วมทุนจะได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เพิ่งสร้างเสร็จโดยเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ทุกแห่งจะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีความไม่แน่นอนสูง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งผลขาดทุนสุทธิจากการลงทุนในโครงการร่วมทุนต่ำกว่า 0.1 พันล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรสุทธิเท่ากับ 0.1 พันล้านบาทในปี 2565 และ 1 พันล้านบาทในปี 2566
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงสูงต่อไปในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ในระดับ 65%-68% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอาจอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ในช่วงปี 2564-2565
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังสามารถบริหารจัดการได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนมีนาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 4.9 พันล้านบาท รวมถึงวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้จำนวน 5.6 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้จำนวน 2.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีสินค้าเหลือขายในโครงการที่ปลอดภาระหนี้ซึ่งมีมูลค่าขาย 4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วย หุ้นกู้ 8.4 พันล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น 6 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาว 1.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้โครงการในภายหลัง และคาดว่าบริษัทจะจ่ายชำระคืนเงินกู้โครงการด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการ
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในช่วงปี 2564-2566 จะเท่ากับ 1-2 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่ภาระหนี้หนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับ 65%-68% ตลอดช่วงประมาณการ และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรจะอยู่ในระดับ 2%-5%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะเครดิตของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการ ในทางตรงกันข้าม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้และฐานะทางการเงินปรับดีขึ้นจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นสูงกว่า 5% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60%