นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศ กำลังการผลิตราว 13 เมกะวัตต์ คาดใช้เงินลงทุนไม่เกิน 700 ล้านบาท โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้ เนื่องจากมีการเซ็นสัญญารักษาความลับไว้กับพันธมิตร
บริษัทยืนยันว่าการขยายลงทุนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยความระมัดระวัง โดยจะมุ่งเน้นการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วเท่านั้น เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันที และเข้ามาช่วยหนุนธุรกิจหลักที่เผชิญกับภาวะซบเซาของอุตสาหกรรมการบิน
แต่อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานของ บริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (BAFS Clean Energy) นั้นเมื่ออุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวแล้ว บริษัทก็จะหันไปลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่เป็น Green Field โดยมุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนสูงมากขึ้น
สำหรับทิศทางธุรกิจหลักในปีนี้ คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะปรับตัวลดลงราว 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมีปริมาณราว 2,302 ล้านลิตร จากปีก่อนอยู่ที่ 2,354 ล้านลิตร เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบกับอุตสาหกรรมการบิน
"บริษัทผ่านจุดที่ต่ำสุดในไตรมาส 2/63 มาแล้ว จากนั้นปริมาณการเติมน้ำมันก็มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับ และมาเจอการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 2 ในเดือน ธ.ค.63 ต่อเนื่องมาในเดือน ม.ค.64 และระลอกที่ 3 ในเดือนเม.ย.64 ก็ส่งผลให้ปริมาณการเติบโตของการเติมน้ำมันอากาศยานลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่"นายประกอบเกียรติ กล่าว
ขณะที่ธุรกิจให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อ คาดปริมาณน้ำมันผ่านท่อรวมทุกผลิตภัณฑ์จะเติบโตขึ้น 3% หรือมีจำนวน 3,225 ล้านลิตร เนื่องจากโครงการขยายท่อส่งน้ำมันภาคเหนือ เฟส 2 จะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 3/64 ซึ่งจะเข้ามาหนุนปริมาณน้ำมันดังกล่าวให้เติบโต
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการบริการเติมน้ำมันอากาศยานอยู่ที่ 57%, บริการขนส่งน้ำมันทางท่อ 35% และการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 8% โดยในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เป็น 50:50 เพื่อลดความผันผวน