นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานใช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมองว่าการปูพรมเร่งฉีดวัคซีนโควิดจะทำให้สถานการณ์รอบ 3 คลี่คลายลงไปได้มาก เศรษฐกิจในประเทศจะกลับมาขับเคลื่อนได้ดีขึ้น ความมั่นใจของประชาชนก็จะกลับมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการขายที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังจากไตรมาส 1/64 และไตรมาส 2/64 การขายยังคงทรงตัว โดยรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 2 และรอบ 3
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมของ PF ที่มีนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก โดยโรงแรมในพอร์ตของบมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวที่คนไทยนิยม ได้แก่ หัวหิน และระยอง ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายรายได้ธุรกิจโรงแรมในปีนี้ที่ 1.5 พันล้านบาท คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักกลับมา 50% ในช่วงครึ่งปีหลัง จากครึ่งปีแรกที่หดตัวลงไปมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจผลิตถุงมือยาง ภายใต้แบรนด์ GGG เข้ามาเสริม โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน ก.ค. 64 หลังจากโรงงานจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จพร้อมการผลิตในเดือน มิ.ย.64 กำลังการผลิต 1.78 ล้านกล่อง/เดือน หรือ 21 ล้านกล่อง/ปี ประมาณการรายได้ช่วงครึ่งปีหลังนี้ราว 3.1 พันล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 1 เท่าในปี 65 เมื่อโรงงานสามารถเดินเครื่องได้เต็มปี ขณะที่คาดว่าความต้องการใช้ถุงมือยางยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แม้ว่าในอนาคตการแพร่ระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายลงก็ตาม
ทิศทางผลประกอบการทั้งปี 64 นี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมที่ 2.13 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จาก PF 1.3 หมื่นล้านบาท รายได้จาก GRAND 2.1 พันล้านบาท รายได้จากการขายที่ดิน 3.1 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจถุงมือยางอีก 3.1 พันล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในส่วนของยอดขายรวม ยังมั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.64 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายจาก PF ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท และยอดขายจาก GRAND 1.1 พันล้านบาท โดยที่ยอดขายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค. 64) ทำไปได้แล้ว 3.46 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของเป้าหมายทั้งปี
ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร เน้นไปที่โครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ จากแผนทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 9.93 พันล้านบาท โดยที่มูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทที่มีอยู่ 2.59 พันล้านบาทจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด
ด้านความคืบหน้าการขายสินทรัพย์ของ บมจ.โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) (ROH) คือ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ส ให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 2/64 และบริษัทจะบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามา ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 เติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/64 จากกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองรีทเข้ามา