นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง แนะนำการลงทุนหุ้นต่างประเทศว่า "ตลาดหุ้นฮ่องกง" ถือเป็นหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศจีนและฮ่องกงมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัว สะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงไตรมาส 1/64 ของจีนและฮ่องกงที่ขยายตัว 18.3% และ 7.8% ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยตัวเลขภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังฮ่องกงต้องเผชิญหน้ากับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และความไม่สงบทางการเมือง จนส่งผลให้ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ถดถอยติดต่อยาวนาน 1 ปีครึ่ง
นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมาจีนมีแผนผลักดันเศรษฐกิจ ภายใต้ชื่อ "Greater Bay Area หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก ประกอบด้วย ฮ่องกง มาเก๊า และ 9 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง ได้แก่ กว่างโจว, เซินเจิ้น, จูไห่, ฝอซาน, ฮุ่ยโจว, ตงกวน, จงซาน, เจียงเหมิน และเจ้าชิ่ง
เขตเศรษฐกิจดังกล่าวมีขนาดตัวเลข GDP รวมกัน คิดเป็น 10% ของ GDP จีน โดยรัฐบาลจีนวางแผนจัดตั้งแต่ละพื้นที่เป็นศูนย์กลางในด้านต่าง ๆ เช่น ผลักดันให้เซินเจิ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านเทคโนโลยี และฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เป็นต้น เห็นได้ชัดจากการทยอยนำบริษัทจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจดทะเบียนกว่า 72% ในตลาดหุ้นฮ่องกงมาจากบริษัทจีน
ขณะเดียวกันราคาหุ้นตลาดฮ่องกงได้ปรับฐานลงมาอยู่ในจุดที่ค่อนข้างน่าสนใจ ฉะนั้นผู้ลงทุนควรหาโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ปัจจุบันตลาดหุ้นฮ่องกงมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกว่า 7.9 แสนล้านบาท และมีจำนวนหุ้น, กองทุน ETF ให้เลือกลงทุนจำนวนมาก โดยไม่มีโควต้าจำกัดการเข้าลงทุนเหมือนตลาดหุ้นจีน ถือเป็นตลาดหุ้นที่เหมาะกับผู้ลงทุนไทย ที่สำคัญยังสามารถไปต่อได้อีกไกล เนื่องจากเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ได้ประกาศแต่งตั้ง อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ JPMorgan Chase & Co ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่อย่างเป็นทางการ นับเป็น CEO คนแรกที่ไม่ใช่เชื้อสายจีน ดังนั้นมีโอกาสจะเห็นตลาดหุ้นฮ่องกงได้รับการผลักดันสู่ระดับโลก
"แม้ 3 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวดีขึ้น แต่เชื่อว่ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผู้บริโภค หรือ CPI ที่ยังคงเติบโตในอัตราที่ไม่สูงมากนักที่ระดับ 0.75% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน ขณะเดียวกันการฉีดวัคซีนยังกระจายไม่ทั่วถึง แม้ที่ผ่านมาจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วกว่า 780 ล้านโดส แต่เมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมด ถือว่ายังน้อยกว่าสหรัฐฯ และอังกฤษ ขณะเดียวกันช่วงนี้ธนาคารกลางของจีนยังไม่มีนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม" นายรัฐศรัณย์ กล่าว
กลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่อาจเผชิญแรงขายจากกฎเกณฑ์ ADR Delisting Rules ในสหรัฐฯ ที่มีแผนถอนหุ้นจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานบัญชีออกจากตลาด และกรณีที่สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน (SAMR) เข้าสอบสวนและปรับบริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่จีน เพื่อป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ จึงแนะให้เลือกลงทุนใน "กลุ่ม Second Tier" หรือ หุ้นแถว 2 ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี และอีคอมเมิร์ซ ที่มีการเติบโตไปกับความมั่งคั่งของชาวจีน ผ่าน 5 หุ้นเด่นประจำตลาดฮ่องกง คือ
1.หุ้น NetEase (9999.HK) ผู้พัฒนาเกมส์เบอร์ 2 ของจีน รองจาก Tencent ปัจจุบันมีค่า P/E อยู่ระดับ 24-25 เท่า เทียบ Tencent ที่อยู่ 31-32 เท่า ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ
2.หุ้น SUNNY OPTICAL (2382.HK) บริษัทสัญชาติจีนมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีด้านเลนส์ ล่าสุดมีแผนจะขยายตัวไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันมีค่า P/E ระดับ 27 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่อยู่ 31 เท่า
3.หุ้น AIA Group (1299.HK) ธุรกิจประกันชีวิตสัญชาติฮ่องกงที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ถือเป็นอีกหุ้นที่น่าสนใจ หลังบริษัทอาจมีการขยายธุรกิจไปในจีนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลจีนกำลังเชื่อมต่อภาคประกันในหลายมณฑลให้มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะช่วยให้ AIA ขยายตัวในธุรกิจประกันได้มากขึ้น
4.หุ้น Xiaomi Corp (1810.HK) บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน ในอนาคตอาจได้รับผลดีจากการที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐถอดชื่อบริษัทออกจากบัญชีดำ เพื่อเปิดทางให้กับนักลงทุนสหรัฐได้เข้าลงทุนในบริษัท ส่งผลให้ FTSE Russell เตรียมนำหุ้นกลับเข้ามาคำนวณในทุกดัชนี ในวันที่ 21 มิ.ย.64
และ 5.หุ้น ZTO Express (2057.HK) บริษัทขนส่งพัสดุยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งมี Alibaba ถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นเบอร์หนึ่งด้านขนส่งพัสดุจีนที่เติบโตไปกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หลังสถานการณ์โควิด-19 หนุนธุรกิจโตเร็ว ปัจจุบันมี P/E อยู่ที่ 22 เท่า เทียบกับเบอร์ 1 ของจีน ถือว่ายังไม่แพง
"แนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นฮ่องกงสัดส่วน 35%, หุ้นสหรัฐฯ 45% และหุ้นเวียดนาม 20% โดยเราได้มีการปรับน้ำหนักหุ้นฮ่องกงขึ้นเล็กน้อย ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ในระยะยาวยังเติบโตได้ดี แต่ระยะสั้นมีโอกาสปรับฐาน หลังราคาขยับขึ้นมาค่อนข้างมาก ส่วนหุ้นเวียดนาม แนะเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องไปกับเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง" นายรัฐศรัณย์ กล่าว