นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ สตาร์ทอัพไทยที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการให้บริการกองทุนส่วนบุคคล เปิดเผยว่า Jitta Ranking - เวียดนาม มีผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยตั้งแต่ พ.ค.63-พ.ค.64 ทำผลตอบแทนรวมได้สูงถึง 93.47% สูงกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam Index Total Return - VNINDEXTR) ที่ทำได้ 56.33% หรือมากกว่า 37.14% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ ผลตอบแทนรวมของ Jitta Ranking - เวียดนาม ที่ชนะผลตอบแทนรวมดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามได้นั้น มาจากการบริหารจัดการที่มีจุดเด่น และแตกต่างในด้านต่างๆ ดังนี้
1.ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นเวียดนามทั้งตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) และตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (HNX) โดยจะวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อนำมาประเมินความแข็งแกร่ง โอกาสการเติบโต และมูลค่าบริษัทนั้นๆ แล้วนำมาจัดอันดับ Jitta Ranking เพื่อค้นหาสุดยอด ?หุ้นดีราคาถูก?
2.เทคโนโลยีการบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอแบบอัตโนมัติ (Automated Management) กระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นลำดับต้นๆ ของ Jitta Ranking และปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน จึงทำให้ผลตอบแทนของ Jitta Ranking เวียดนามชนะดัชนีตลาดได้ไม่ยาก
3.ผลตอบแทนคาดหวังได้ จากการใช้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment - VI) นั่นคือ เน้นการลงทุนในในหุ้นดีราคาถูก ที่คัดสรรด้วยเทคโนโลยี Jitta Ranking ที่พิสูจน์ผลตอบแทนมาแล้วว่าสามารถชนะดัชนีตลาด เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ที่สร้างการเติบโตทบต้นไปเรื่อยๆ
4.ค่าธรรมเนียมต่ำและยุติธรรม ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลเพียง 0.5% ต่อปี เพื่อให้นักลงทุนมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
"ข้อดีของเทคโนโลยี AI คือสามารถวิเคราะห์หุ้นได้ทั้งตลาดอย่างมีหลักการและปราศจากอคติ จึงสามารถเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตจริงๆ สะท้อนจากงบการเงินที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการของ Jitta Wealth ที่ใช้เทคโนโลยีมาจัดพอร์ตอย่างอัตโนมัติ ลงทุนในหุ้นหัวกะทิอันดับต้นๆ ของ Jitta Ranking และดูแลจัดการปรับพอร์ตให้อย่างสม่ำเสมอนั้น ได้พิสูจน์ผลงานสร้างพอร์ตเติบโตเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ให้กับนักลงทุนไทยมาแล้ว" นายตราวุทธิ์ กล่าว
ขณะที่ นายฟัน จิ้ ทัน เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (59-63) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9% สูงที่สุดในโลก ขณะที่กระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) รายงานว่าช่วง 4 เดือนแรกของปี 64 นักลงทุนต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามในรูปแบบต่างๆ มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดราว 12,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือพุ่งขึ้น 99.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้สดใสอย่างมาก โดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เช่น World Bank, International Monetary Fund และ Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7.0%
"เวียดนามเป็นตลาดที่มีเสน่ห์ เป็นประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต่อเนื่อง ทำให้หุ้นเวียดนามมีการเติบโตของกำไรสูง ในขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูก จึงมองว่าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยที่จะทำการปรับพอร์ต กระจาย กระจายความเสี่ยง ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อผลตอบแทนระยะยาว สร้างพอร์ตเติบโตไปพร้อมกับประเทศเวียดนาม" นายตราวุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย