สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดรวม 4 ราย ได้แก่ (1) นายเกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์ (นายเกียรติชัย) (2) นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย (นายสุรพงษ์) (3) นางกิ่งกาญจน์ สมิตานนท์ (นางกิ่งกาญจน์) และ (4) นายประพล มิลินทจินดา (นายประพล) กรณีได้รู้เห็นหรือร่วมกับบุคคลและนิติบุคคลอีก 9 ราย โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำการสร้างราคาหุ้น บมจ.เกียรติธนาขนส่ง (KIAT) โดยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง รวมเป็นเงิน 226 ล้านบาทเศษ พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ตามที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายเกียรติชัย นายสุรพงษ์ นางกิ่งกาญจน์ และนายประพล กรณีได้รู้เห็นหรือร่วมกับบุคคลและนิติบุคคลอีก 9 ราย โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำการซื้อขายหุ้น KIAT ในลักษณะผลักดันราคาหุ้น KIAT ให้ผิดไปจากสภาพปกติ และแสวงหาประโยชน์จากการขายหุ้น KIAT จากการผลักดันราคา โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่งก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้กระทำความผิด 9 รายดังกล่าวได้ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง แต่นายเกียรติชัย นายสุรพงษ์ นางกิ่งกาญจน์ และนายประพล ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ที่ ค.ม.พ. กำหนด จึงพิจารณาได้ว่าผู้กระทำความผิดดังกล่าวไม่ยินยอมที่จะระงับคดีในชั้น ก.ล.ต.
ดังนั้น ก.ล.ต.จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีผู้กระทำความผิด 4 รายดังกล่าวต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 226,169,040 บาท โดยให้นายเกียรติชัย ชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวน 150,146,000 บาท นายสุรพงษ์ ชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวน 45,146,560 บาท นางกิ่งกาญจน์ ชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวน 500,000 บาท และให้นายประพล ชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวน 30,376,480 บาท
อนึ่ง ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงาน ปปง. เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อพิจารณาดำเนินการต่ออีกด้วย