นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสวีไอ(SVI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทจะเซ็นสัญญาซื้อโรงงานใหม่ในประเทศไทยในช่วงปลายเดือนพ.ย.50 หลังจากที่เสร็จสิ้นการเจรจาต่อรองราคาแล้วได้ราคาต่ำกว่า 350 ล้านบาทตามที่บริษัทประมาณการณ์ไว้ โรงงานใหม่ดังกล่าวจะใช้เวลาทดสอบเครื่องจักรระยะหนึ่งก่อนที่จะเริ่มผลิตได้ในราวเดือน ม.ค.51
สำหรับเม็ดเงินที่นำมาใช้ซื้อโรงงานใหม่นั้น ส่วนหนึ่งจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และมาจากเงินกู้ที่จะกู้เพียง 300 ล้านบาทแม้ธนาคารพาณิชย์ได้เสนอวงเงินกู้มาให้กว่า 1,000 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ผลประกอบการในครึ่งหลังของปี 50 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/50 โดยคาดว่ารายได้และกำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/50 ประมาณ 10%
ทั้งนี้ รายได้ในไตรมาส 3/50 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/50 ที่มีรายได้ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมาทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีออเดอร์ในมือที่รอการผลิตและการมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่มจำนวน 2 รายที่มีคำสั่งซื้อเกินกว่า 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นอกจากนี้ยอดขายในตลาดยุโรปยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีออเดอร์มากกว่า 15% ของกำลังการผลิต
บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin)ในไตรมาส 3/50 จะฟื้นตัวมาที่ 10% เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงและมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในช่วงไตรมาส 2/50 ที่เงินบาทแข็งค่าทำให้อัตรากำไรขั้นต้นหายไป 1% จากไตรมาส 1/50 มาอยู่ที่ 9.8% ขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้ลูกค้าที่สั่งสินค้าเป็นเงินสกุลดอลลาร์มั่นใจในการสั่งออเดอร์มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่ารุนแรงบริษัทก็ได้มีการป้องกันความเสี่ยงไว้แล้ว พร้อมกันนั้นบริษัทยังพยายามลดการสั่งซื้อวัตถุดิบจากยุโรปแล้วหันมาซื้อจากเอเชีย เพื่อลดต้นทุน
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 4/50 เชื่อว่าจะทรงตัวใกล้เคียงไตรมาส 3/50 โดยรายได้หลักยังคงมาจากโรงงาน SVI 1และ SVI2 โดยในโรงงาน 2 มีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 130 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 51 จากปัจจุบัน 100-120 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากปัจจัยต่าง ๆ ทำให้บริษัทประเมินว่าในปีนี้จะสามารถรักษายอดขายได้ตามเป้าหมาย 155-160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"ช่วงนี้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ทำให้เราสามารถบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นด้วยและที่ผ่านมาพยายามลดต้นทุนลง เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นด้วยการลดการนำเข้าจากยุโรปและหันมาซื้อวัตถุดิบในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นเพื่อให้ต้นทุนถูกลง จึงมองว่าจะเป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทในปีนี้" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ในส่วนโรงงานที่ประเทศจีนนั้น นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในประเทศจีนให้กับลูกค้ารายใหม่ 2 รายในไตรมาส 3/50 แล้วบางส่วน และจะไปรับรู้รายได้จากออร์เดอร์ดังกล่าวทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/50 จึงน่าจะทำให้โรงงานจีนสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ในไตรมาส 4/50 และจะเริ่มเห็นกำไรได้ในปีหน้า จากไตรมาส 3/50 ที่ยังขาดทุนอยู่แต่จะน้อยลงจากไตรมาส 2/50 ที่ขาดทุน 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ
นางพงษ์ศักดิ์ กล่าวถึงแผนลงทุนในประเทศเวียดนามว่า คงจะเห็นหลังจากหลังจากโรงงานแห่งที่ 3 ในไทยเสร็จสิ้นหรือในช่วงปลาย 2551 แต่ยังต้องศึกษาให้รอบคอบถึงแม้ต้นทุนด้านค่าแรงงานจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--