บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว ( SECURE) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 27.74 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 16.00 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 23-25 มิ.ย. และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 1 ก.ค.64
นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ SECURE เปิดเผยว่า ราคา IPO มาจากการสำรวจราคาและความต้องการของนักลงทุนสถาบัน (Institute Book Build) โดยระดับ P/E อยู่ที่ 25 เท่า ให้ส่วนลดกับนักลงทุนเล็กน้อย
วัตถุประสงค์ในการะดมทุนครั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Support Center) การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cybersecurity) การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับความน่าสนใจของ SECURE มาจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง หากพิจารณาในแง่ของตัวธุรกิจที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ และให้บริการที่เกี่ยวข้องมา 15 ปี อีกทั้งผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดีมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ทำให้บริษัทเป็นที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มในอนาคตยังสามารถที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก
และยังมีนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสนใจเข้าลงทุน ซึ่งหาได้ยากในการที่นักลงทุนสถาบันจะเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก โดยที่สัดส่วนในการจัดสรร IPO ให้กับนักลงทุนสถาบันในครั้งนี้มีสัดส่วน 25% และส่วนที่เหลือจะจัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อย
"เชื่อว่าธุรกิจที่ SECURE อยู่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในโลกออนไลน์ทั้งหมด การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ก็จะมีความจำเป็นสำหรับทุกท่าน เริ่มจากบริษัทใหญ่ บริษัทระดับกลาง หรือมาถึงระดับบุคคลก็มีความจำเป็น และจากประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทและทีมผู้บริหารได้พัฒนาการบริการต่างๆมาต่อเนื่อง และเริ่มมีสินค้า และทีมไอทีเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่รองรับให้บริษัทโตต่อไปในอนาคต"นายพายุพัด กล่าว
นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SECURE กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจในการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจต่อไปหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ โดยที่ผ่านท่ามกลางภาวะทางเศรษฐกิจไทยรวมถึงทั่วโลกที่ชะลอตัว จากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่บริษัทยังสามารถทำผลการดำเนินงานออกมาได้ดีต่อเนื่อง จากการที่การใช้บริการออนไลน์ต่างๆมีปริมาณที่มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆมีความต้องการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
สำหรับผลการดำเนินงานงสดล่าสุดไตรมาส 1/64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 488.29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 282.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นาบนักรบ กล่าวอีกว่า ในระยะต่อไปบริษัทมีแผนลงทุนสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิคและขยายทีมบุคลากรในฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้กับลูกค้า และใช้ในการสาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และซอฟต์แวร์ด้าน Cybersecurity ที่จะช่วยในการเชื่อมต่อโซลูชั่นของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเข้ากับระบบต่างๆของลูกค้า และอาจมีการร่วมมือกับบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยอาจรวมถึงการขายซอฟท์แวร์ ภายใต้แบรนด์ของบริษัท (White Label) ตลอดจนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์
"เราถือเป็นผู้บุกเบิก Cybersecurity Distributor ในไทย แม้ว่าเราเป็นบริษัทไทยเล็กๆที่เริ่มขึ้นมา แต่เรามองมาในอนาคตก็เห็นโอกาสสร้างการเติบโตของธุรกิจ และปัจจุบันเริ่มเห็นกระแสความต้องการในการใช้ระบบ Cybersecurity เพิ่มมากขึ้นทุกวันในแทบทุกอุตสาหกรรม และในอนาคตการทำธุรกรรมไอทีหรือออนไลน์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระบบ Cybersecurity เข้ามาช่วยเหลือ เพื่อป้องกันการโจมตี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ และเรานำเงิน IPO ครั้งนี้ไปต่อยอดศักยภาพการแข่งขัน ให้เราสามารถแข่งจันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้"นายนักรบ กล่าว