นายธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เชอร์วู้ดคอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) (SWC) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโตแตะ 10,000 ล้านบาทในปี 69 จากปี 64 คาดว่าจะเติบโตราว 80% เป็น 2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 1,301.40 ล้านบาท หลังจากบริษัทปรับกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่ม Non-Food และ Food ด้วย 3 แกนหลัก คือ Safety, Wellness และ Care ผ่านแนวคิด SWC Change to Win ด้วยการปรับให้สอดรับกับสถานการณ์ พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ผ่านวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรชั้นนำที่ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคในระดับสากล
บริษัทวาง 4 ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ 1.ช่องทางการขาย (Distribution Channel) ที่ครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ 2.การมีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง (Brand) 3.การพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ (People) และ 4.ระบบในการขายที่นำเทคโนโลยีมาใช้ (System) ผ่านโครงสร้างธุรกิจที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจ Non-Food กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ในครัวเรือนและเคมีภัณฑ์ในอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Food ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อผลักดันให้ธุรกิจใหม่ประสบความสำเร็จ
ในปีนี้บริษัทจะมุ้งเน้นในธุรกิจ Food มากขึ้น โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 15% หรือคิดเป็น 400 ล้านบาทของรายได้รวม จากปีก่อนอยู่ที่ 6% และมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจดังกล่าว (เฉพาะเครื่องดื่ม) เป็น 2,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของรายได้รวมภายในปี 69 ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ SuperFight เครื่องดื่มชูกำลังสมุนไพร ซึ่งเปิดตัวไปแล้วในเดือนพ.ค.64 และจะวางจำหน่ายในร้าน 7-11 ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ รวมถึงจะขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV, ตะวันออกกลาง, จีน, ยุโรป และอเมริกา โดยวางเป้าหมายนำแบรนด์ SuperFight ก้าวสู่โกลบอลแบรนด์ในอนาคต
นอกจากนั้น บริษัทยังมองโอกาสการซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจอาหารเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดการเติบโต อีกทั้งเตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชากัญชง โดยมีเป้าหมายการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และการเข้าสู่ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่ม SuperFight ผสมกัญชา ผลิตภัณฑ์ถั่วแบรนด์มารูโจ้ และผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีมแบรนด์ฮอกไกโด ก็มีแผนการออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเทอร์ปีน มีกลิ่นและรสสัมผัสที่มอบความสุขความสนุกในการบริโภค
"บริษัทเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผสมกัญชา กัญชงมีความต้องการสูงมาก ไม่เพียงตลาดในประเทศ แต่ยังเตรียมบุกตลาดโลก เพราะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่แล้ว เชื่อว่าตลาดนี้มีศักยภาพ ในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ"นายธนากร กล่าว
ขณะที่เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ฮอกไกโดมิลค์ บริษัทก็ได้รีแบรนด์ให้ดูสดใสและทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งทำเรื่องของแฟรนไชส์ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ธุรกิจนมพร้อมดื่มของบริษัทเติบโตขึ้น รวมถึงยังมองโอกาสขายไปสู่กลุ่มนม UHT ด้วย จากปัจจุบันอยู่ในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์
นายธนากร กล่าวว่า ด้านกลุ่มธุรกิจ Non-Food ที่มีผลิตภัณฑ์ป้องกันและจำกัดปลวกและแมลงรบกวนแบรนด์ เชนไดร้ท์ และผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานแบรนด์ ทีโพล์ จะมีการ Re-Branding ปรับภาพลักษณ์สินค้าให้ทันสมัย ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าภายใต้กลยุทธ์ O2O ผสมผสานทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียน พร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งแบรนด์?ทีโพล์?ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภครายย่อย (B2C) ไปสู่การขยายฐานลูกค้ากลุ่มองค์กร (B2B)
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้กว่า 200 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำการตลาดทั้งธุรกิจ Food และ Non-Food
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตแตะ 1,000 ล้านบาทหลังจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น จากไตรมาส 1/64 ทำได้เพียง 309.98 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังของปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก โดยธุรกิจ Food จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น