โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) คำสั่งปิดแคมป์คนงานเป็นระยะเวลา 1 เดือนในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล เป็นปัจจัยชั่วคราวทให้การรับรู้รายได้ต้องเลื่อนออกไปจึงอาจมีผลต่อกำไรสุทธิบ้าง แต่เชื่อว่าภาครัฐจะมีมาตรการชดเชยภายหลัง ขณะที่บริษัทยังมีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 1 แสนล้านบาท และมีโอกาสได้งานใหม่เข้ามาเพิ่มจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมคาดผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/64 และช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากอัตรางานก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และงานที่มีมาร์จิ้นน้อยเริ่มทยอยหมดไป โดยเฉพาะงานอาคารรัฐสภาจบไปแล้วในเดือน เม.ย.64
หุ้น STEC ปิดเช้าที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท (+1.46%) ขณะที่ดัชนี SET บวก 7.11 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ซื้อ 21.00 ธนชาต ซื้อ 19.00 ทิสโก้ ซื้อ 18.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 18.00 เคทีบีเอสที ซื้อ 17.50
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์การลงทุน บล.เคทีบีเอสที เปิดเผยว่า การสั่งปิดแคมป์คนงานในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลเป็นเวลา 1 เดือน เป็นปัจจัยชั่วคราว และเลื่อนรับรู้รายได้เท่านั้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิบ้างเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนงานในพื้นที่เหล่านี้ราว 50% แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าภาครัฐจะมีมาตรการต่างออกมาชดเชยภายหลัง
บริษัทมี backolog ณ สิ้นไตรมาส 1/64 สูงถึง 1 แสนล้านบาท และยังมีโอกาสได้รับงานให้เข้ามาเพิ่มเติม จากปัจจัยหนุนงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าโครงการค้างท่อจะทยอยเปิดประมูลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ามูลค่าสูงถึง 8 แสนล้านบาท นอกเหนือจากโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งกลุ่ม CKST-DC เป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุดจาก 2 ใน 3 สัญญา มูลค่ารวม 4.6 หมื่นล้านบาทแล้ว
ล่าสุดมีความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งมองว่าบริษัทเป็นอีกหนึ่งตัวเก็ง เนื่องจากในไทยมีเพียงกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ ได้แก่ CK, STEC และ ITD ที่มีประสบการณ์ก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินมาก่อน โดยมองโอกาสความเป็นไปได้ที่ CK และ STEC จะจับมือร่วมกันเข้าประมูล หากได้งานเพิ่มราว 1.5 หมื่นล้านบาทจะมี Upside กับราคาหุ้นเพิ่มเติมด้วย
"แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการปิดแคมป์คนงานเป็นระยะเวลา 1 เดือนก็ตาม แต่มองว่าเป็นแค่การเลื่อนรับรู้รายได้เท่านั้น และเชื่อว่าภาครัฐจะมีมาตรการต่างออกมาชดเชยภายหลัง ขณะเดียวกันทิศทางผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/64 จะเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา"นายมงคล กล่าว
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์คาดผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/64 ของ STEC และช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากอัตรางานก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ อัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นจากงานโครงการรัฐสภาที่มีอัตรากำไรต่ำแล้วเสร็จไปแล้วในเดือน เม.ย. ประกอบกับมีโอกาสชนะประมูลโครงการใหม่ๆ และงานในมือปัจจุบันที่ 1.05 แสนล้านบาท งานรถไฟรางคู่ที่จะประมูลผ่าน e-bidding ในวันที่ 18 และ 25 พ.ค.คาดว่าจะรู้ผลเป็นทางการในเร็วๆนี้
แม้ว่าช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมาบริษัทจะมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด เนื่องจากการรับรู้ของรายได้ที่ mismatch ของโครงการใหม่และเก่า และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งการก่อสร้างโครงการสายสีส้ม แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินงานของ STEC จะดีขึ้นในอนาคตจากการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากงานรัฐสภาที่มีอัตรากำไรต่ำได้หมดไปแล้ว เราคาดว่างานในมือจะกลับมาเพิ่มขึ้นในอนาคตจากโครงการใหม่ๆ
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ระบุว่า STEC มี Backlog สูงถึง 1 แสนล้านบาท และอยู่ระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญางานใหม่อีก 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันงานที่มีมาร์จิ้นน้อยเริ่มทยอยหมดไป โดยเฉพาะงานอาคารรัฐสภาได้จบงานแล้วในเดือน เม.ย.
ทั้งนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 64 เป็น 37,000 ล้านบาท เติบโต 3% และมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 5% สูงกว่าปีก่อนที่ 4.4% พร้อมตั้งเป้าได้รับงานใหม่ในปีนี้อีก 40,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมาบริษัทจะมีการรับรู้รายได้สัดส่วนเพียง 18-20% ของประมาณการ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีจะปรับตัวดีขึ้น