น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของธุรกิจโซลาร์ ภายใต้บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในปีนี้จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) โดยมีเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% พร้อมวางเป้ากำลังผลิตติดตั้งรวมไม่ต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ โดยเน้นการติดตั้งที่มีคุณภาพและคัดเลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ครอบคลุมทั้งโครงการบ้านของเสนา จำนวน 150 หลังคาเรือนและภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ และพร้อมสำหรับธุรกิจการให้คำปรึกษาและบำรุงรักษาทำความสะอาดระบบโซลาร์ในโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้สูงสุดในราคาค่าบริการที่คุ้มค่าที่สุดต่อผู้ใช้บริการ
"ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มีการเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ผู้อยู่อาศัย และผู้ประกอบการธุรกิจมีเป้าหมายลดต้นทุนค่าพลังงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายขณะเดียวกันรัฐบาลได้เปิดโครงการโซลาร์ภาคประชาชนที่ปรับเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าส่วนเหลือใช้จากบ้านที่อยู่อาศัยเดิม 1.68 บาทต่อหน่วยเป็น 2.20 บาท ต่อหน่วย เพื่อจูงใจและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาติดตั้งโซลาร์ฯใช้เองมากขึ้น และ ให้บริการบำรุงรักษาระบบโซลาร์ในราคาย่อมเยาว์ เอทโซลาร์ฯ จึงเห็นโอกาสนี้ที่จะเข้ามาให้บริการเพื่อร่วมขับเคลื่อนพลังงานสะอาด" น.ส.เกษรา กล่าว
ด้านนายสุธรรม โอฬารกิจอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้มีการวางแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เผื่อควบคุมต้นทุนของการติดตั้งทั้งระบบ รวมถึงยังได้เป็นพันธมิตร ในการนำอุปกรณ์การแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ หรือที่เรียกว่าอินเวอร์เตอร์ (Inverters) ของบริษัท FIMER ซึ่งได้เข้าซื้อกิจการอินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตชั้นนำอย่าง ABB ประเทศอิตาลี มาให้บริการผู้บริโภค
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าการใช้ไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกบ้านที่ทำงานนอกบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้เกิดประโยชน์การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้อย่างสูงสุด ด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และ ช่วยรักษาความปลอดภัย มาติดตั้งเพื่อบริการให้ลูกบ้าน โดยจะมีการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตต่อไป
"ธุรกิจโซลาร์ฯ ของเสนาได้รับการตอบรับด้วยดี เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ประกอบกับขณะนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้มีการทำงานอยู่บ้านหรือ Work From Home เพิ่มขึ้นส่งผลให้การใช้ไฟในบ้านสูงและแนวโน้มดังกล่าวจะเป็น New Normal โซลาร์จึงเป็นคำตอบของยุคปัจจุบันและอนาคตและเพื่อตอบสนองของตลาดคนรุ่นใหม่ บริษัท อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการออกแบบแผงโซลาร์ให้มีความทันสมัยและให้เป็นองค์ประกอบของที่อยู่อาศัยให้มีความกลมกลืนและมีความสวยงาม แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้า" นายสุธรรมกล่าว
ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการติดตั้งโครงการบ้านเสนาฯ และ ที่อยู่อาศัยต่างๆ ไปแล้วกว่า 400 หลังคาเรือน รวมกำลังผลิตสำหรับที่อยู่อาศัย มากกว่า 1,000 กิโลวัตต์ รวมทั้งติดตั้งในสำนักงาน คลังสินค้า โรงงานขนาดใหญ่ กว่า 50 แห่ง รวมกำลังผลิตกว่า 16,000 กิโลวัตต์ และยังมีโซลาร์ฟาร์มที่เสนาลงทุนอยู่ขนาด 46,500,000 กิโลวัตต์ รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่จะเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอีกประมาณ 237 หลังคาเรือน