บล.ทรีนิตี้มองต.ค.หุ้นไทยมีโอกาสแตะ 900 จุด แนะจับตาผลประชุมเฟด-การเมืองไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 11, 2007 15:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3  สัปดาห์จากนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 900-940 จุด เนื่องจากเม็ดเงินของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนก่อนการประกาศผลการประชุมของเฟดในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่ และประเด็นการเมืองในประเทศก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อเม็ดเงินลงทุนด้วย
หากการประชุมของเฟดในครั้งต่อไปประกาศลดอัตราดอกเบี้ย อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดจะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังชะลอ แต่หากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.75% ก็อาจจะทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศโยกกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯแทน
"เท่าที่ผมประเมินผลการประชุมของเฟดในรอบนี้ น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ เพราะภาคที่ได้รับผลกระทบคือภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ขณะที่ภาคอื่นยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร ขณะที่ราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นสูง จึงไม่น่าที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามคงรอดูการประกาศเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐ ที่จะมีการประกาศในวันที่ 17 ต.ค.นี้ว่าจะมีผลอย่างไร เพราะเรื่องดังกล่าวจะมีผลต่อการพิจารณาของเฟดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่"นายวิศิษฐ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะมีความผันผวนบ้างในช่วงนี้ โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งและความผันผวนจากเม็ดเงินต่างประเทศ โดยจากการเก็บข้อมูลก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาปี 39 ถึงปัจจุบัน พบว่า 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ให้ผลตอบแทน 9.2% ไฟแนนซ์ 8.5% สื่อสาร 7.7% ซึ่งถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 5.9%
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนก็จะต้องระมัดระวังและพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยควรกระจายการลงทุนในหุ้น 50% และอีก 50% ลงทุนในตราสารหนี้และเก็บเงินสดไว้ในมือ
"การที่หุ้นขึ้นเร็วตอนนี้มาจาก Fund Flow เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นหากมีอะไรผิดปกติ Fund Flow ก็จะมีการทำกำไรเร็ว และถึงแม้ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถึงก่อนการเลือกตั้งจะผันผวนไปบ้างหากสถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นไปได้ด้วยดี ดัชนีในสิ้นปีนี้ก็น่าจะเห็นที่ 1,000 จุดได้"นายวิศิษฐ์ กล่าว
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ BBL ที่มองว่าราคาในปีนี้จะอยู่ที่ 125 บาทและเป็น 140 บาทในปีหน้า, KTB จาก 12.50 บาทในปีนี้ และเป็น 13 บาทในปีหน้า
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปีนี้โดดเด่นจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยแนะนำ PTT จาก 360 บาทในปีนี้, PTTEP จาก 180 บาทในปีนี้
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง (BLS) กล่าวว่า ตอนนี้เม็ดเงินที่เกิดจากการลงทุนในตลาดพันธบัตรเริ่มโยกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแทน เนื่องจากให้ผลตอบแทนจะสูงกว่าจากเดิมที่ผลตอบแทนในพันธบัตรสูงกว่า การลงทุนในหุ้น 1% โดยแนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น เป็น 70% จาก 60%, ลงทุนในพันธบัตร 20% ลงทุนในกองทุนพันธบัตรระยะสั้น และ ถือเงินสดอย่างละ 5%
อย่างไรก็ตาม รู้สึกกังวลในผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในช่วงไตรมาส 3 ที่กำไรสุทธิจะโตลดลงจากการที่ปล่อยสินเชื่อได้น้อยลง ส่วนประเด็นการเลือกตั้งมองว่าคงไม่เลวร้าย แต่หากมีการเลื่อนก็คงไม่เกิน 7 ม.ค.51 ตามที่กฎหมายระบุไว้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ