CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ ซื้อ TOP ตัวเด่นรับดีมานต์น้ำมันฟื้น, PTTGC เล็งงบฯ Q2/64 สวย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 6, 2021 13:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกฯต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้นบมจ. (TOP) และบมจ. (PTTGC) โดยมองกลุ่มโรงกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังยังดี ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น หลังจากหลายประเทศเปิดเมือง ซึ่งจะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินให้ฟื้นตัวขึ้น จากก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องล็อกดาวน์

ส่วนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี ควรจะหลีกเลี่ยงลงทุนไปก่อน เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตใหม่ทยอยเข้าสู่ตลาด กดดันสเปรดปิโตรเคมีปรับตัวลง แต่ PTTGC คาดการณ์ผลดำเนินงานไตรมาส 2/64 ยังคงประคองตัวสูงใกล้เคียงกับไตรมาสแรก จาก spread กลุ่มโอเลฟินส์ที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และครึ่งปีหลังคาดทรงตัวจากครึ่งปีแรกได้ หลังรับรู้การขาย บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)

หุ้น TOP ปิดเช้าที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท (+1.38%) ส่วนหุ้น PTTGC ปิดเช้าที่ 60.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.41%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าพุ่ง 13.31 จุด

          โบรกเกอร์              คำแนะนำ  TOP ราคาเป้าหมาย   PTTGC ราคาเป้าหมาย
                                            (บาท/หุ้น)             (บาท/หุ้น)
          กสิกรไทย                 ซื้อ         66.50               73.00
          เอเซีย พลัส               ซื้อ         68.00               69.00
          เอเชีย เวลท์              ซื้อ         68.00               82.00
          เคทีบีเอสที                ซื้อ         72.00               82.00
          หยวนต้า                  ซื้อ         70.00               71.00
          ทิสโก้                    ซื้อ         70.00               79.00

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีในครึ่งปีหลังนี้ หุ้นโรงกลั่นน่าจะทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ตามการเปิดประเทศของแต่ละประเทศ ซึ่งมีปัจจัยบวกหลักขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเปิดน่านฟ้าได้เมื่อใด ซึ่งหากกลับมาเปิดน่านฟ้าได้ในช่วงปลายปีตามคาดการณ์ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบิน (JET) ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดการสต็อกน้ำมันดีเซลลง จากปัจจุบันที่มีการสต็อกน้ำมันดีเซลไว้จำนวนมาก และคาดค่าการกลั่น (GRM) จะกลับสู่ภาวะสมดุลได้ในช่วงปี 65 หรือมาอยู่ที่ระดับ 4.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเชื่อว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้นกว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป หลังได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดกลุ่มนี้จะเป็นอัพไซด์ในอีก 2 ปีจากนี้

ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี ครึ่งปีหลังนี้จะมีซัพพลายเข้ามาใหม่ เช่น โอเลฟินส์ จะเข้ามา 7.8 ล้านตัน สูงกว่าดีมานด์ทั้งปีที่ 5.6 ล้านต้น ส่งผลให้ spread ปรับตัวลดลง และปีหน้าก็ยังมีซัพลายใหม่เท่ากับดีมานด์ ทำให้ spread จะยังถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้ไปจนปีหน้า

สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลัง ควรเน้นไปที่กลุ่มโรงกลั่นแทนการลงทุนในหุ้นปิโตรเคมี แนะ"ซื้อ"หุ้น TOP ให้ราคาเป้าหมายที่ 66.5 บาท และ SPRC ราคาเป้าหมาย 11.5 บาท โดยมองว่า 2 บริษัทดังกล่าวมีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก อย่าง TOP คิดเป็น 70% ของรายได้รวม และ SPRC คิดเป็น 100% ซึ่งเมื่อค่าการกลั่นฟื้นก็จะได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ค่อยเริ่มกลับมาลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีได้ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามหากต้องการลงทุน แนะเทรดดิ้งช่วงสั้น จากงบไตรมาส 2/64 ที่ออกมาดี

ด้านน.ส.นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า คาดแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีน่าจะผ่านจุดสูงสุดของปีไปแล้วในงวดไตรมาส 1/64 เป็นผลมาจาก spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกือบทุกสายการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันในระดับสูง ตามราคาปิดน้ำมันดิบดูไบสิ้นงวดไตรมาส 1/64 ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/63 กว่า 20 เหรียญ สหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ในไตรมาส 2/64 แม้จะเห็น spread ปิโตรเคมีปรับตัวลดลงบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังได้รับอานิสงค์จากการซื้อขาย ทำให้กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมียังดีอยู่ รวมถึงค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นแม้เล็กน้อย ก็ยังช่วยพยุงกำไรปกติไตรมาส 2/64 ให้ประคองตัวอยู่ในระดับสูงได้ต่อ

ทั้งนี้คาดแนวโน้มกำไรสุทธิและกำไรปกติในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเห็นการปรับตัวลดลง จากการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันอาจจะลดลง และมีโอกาสจะบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากสต๊อกฯ ได้ รวมถึง spread ปิโตรเคมีคาดจะอ่อนตัวลงจาก supply ใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งคาดค่าการกลั่นอาจจะยังไม่โดดเด่นมากเพียงพอที่จะชดเชยปัจจัยลบต่างๆ ได้

ฝ่ายวิจัยจึงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีเท่าตลาด โดยไม่มีหุ้นโดดเด่นในกลุ่มฯ ตอนนนี้รอให้ราคาหุ้นปรับฐานรับทิศทางกำไรที่มีโอกาสอ่อนตัวในงวดไตรมาส 3/64 จนเห็น upside ที่จูงใจจะปลอดภัยกว่า หากจะเข้าลงทุนเน้นเทรดดิ้งช่วงสั้นรับกำไรปกติไตรมาส2/64 ที่ยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่ PTTGC ให้ราคาเป้าหมายที่ 69 บาท

โดยยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติของ PTTGC ในปี 64 ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากคาดทิศทางกำไรจากการดำเนินงานปกติของไตรมาส 2/64 จะยังคงประคองตัวสูงใกล้เคียงกับไตรมาสแรก จาก spread กลุ่มโอเลฟินส์ที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่าการกลั่น และ spread อะโรเมติกส์ คาดทรงตัวจากงวดก่อนหน้า รวมถึงคาดได้ปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายของโครงการใหม่ ORP (Olefin Reconfiguration Project กำลังการผลิตเอทิลีน 5 แสนตันต่อปี และโพรพิลีน 2.5 แสนตันต่อปี) ที่เริ่ม COD ในช่วงปลายเดือนเม.ย.64

ส่วนนายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีครึ่งปีหลัง โรงกลั่นน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ราว 6-7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สะท้อนความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการเร่งกำลังการผลิตขึ้น ประกอบกับคาดความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินที่หายไป น่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ จากการทยอยเปิดเมืองในหลาย ๆ ที่ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการกลั่น และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นสามารถยืนอยู่ในระดับสูง

ส่วนโรงกลั่นใหม่ที่จะเข้ามาในระบบ คาดจะชดเชยกับโรงกลั่นที่จะออกไปได้ ทำให้คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโรงกลั่นมากนัก ให้ Top pick เป็นหุ้น TOP แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 68 บาท และหุ้น BCP แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 32 บาท

ด้านกลุ่มปิโตรเคมี มองว่าครึ่งปีหลังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เฉลี่ยอยู่ในระดับสูง และกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งอะโรเมติกส์ ราว 3-4 ล้านตัน และโอเลฟินส์ ราว 5-7 ล้านตัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกดดันต่อ spread ให้ปรับตัวลดลง

บล.เอเชีย เวลท์ จึงลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเป็น ไม่แนะนำซื้อ ยกเว้น PTTGC เนื่องจากมีการที่ใช้แก๊สธรรมชาติในการผลิต ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าการใช้น้ำมัน ประกอบกับผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียง หรือทรงตัวจากครึ่งปีแรก สะท้อนการขาย GPSC ออกไป ให้ราคาเป้าหมาย 82 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ