นายพิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส(KCAR)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจการให้เช่ารถยนต์นั่ง ไปสู่รถยนต์ประเภทอื่น เช่น รถบรรทุก และบริการเสริมอย่างรถยนต์นั่งพร้อมคนขับ รวมทั้งเดินหน้าขยายกลุ่มลูกค้าประเภทผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าทยอยเข้ามาเพิ่มราว 10 รายแล้ว
"เราสนใจที่จะขยายการให้เช่ารถใหม่ๆ จากที่เรามี ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าแสดงความต้องการที่อยากจะให้มีรถเช่าอย่างอื่น บางรายก็อยากเช่ารถที่มีพร้อมคนขับด้วย แต่แผนนี้คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเพราะรถเช่าที่มีคนขับจะมีความยุ่งยากในเรื่องของคนเข้ามา และเรายังเห็นยอดการเติบโตในตลาดรถเช่าเดิมอยู่"นายพิเทพ กล่าว
สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบกับต่อการดำเนินงานของบริษัทมากนัก เพราะเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้บริษัทต่างๆต้องควบคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้บริษัทและองค์กรต่างๆ หันมาใช้รถเช่ามากขึ้น รวมทั้งผู้บริโภคก็ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อมาเป็นการเช่าแทน
ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าจากทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน มีอัตราให้เช่า 90% และอีก 10% เป็นการสำรองรถไว้เพื่อการเปลี่ยนทดแทนคันที่ส่งซ่อม
นายพิเทพ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคงไม่มีการปรับลดราคาให้เช่ารถที่มีอัตราการเช่าเฉลี่ยที่ 1.8 หมื่นบาทต่อคันต่อเดือนถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น เพราะค่าเช่ารถจะเป็นการประมาณต้นทุนตายตัว
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือคุณภาพของผู้ประกอบการที่ผู้เช่าหันมาให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งด้านต้นทุนด้วยการสร้างศูนย์บริการซ่อมบำรุงและศูนย์จำหน่ายรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง และการเน้นคุณภาพการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและเพิ่มขนาดการเช่าอย่างต่อเนื่อง
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทยอยซื้อรถไว้ในพอร์ตทุกเดือน ซึ่งตามแผนปีนี้วางเป้าเพิ่มจำนวนรถยนต์เพิ่มจำนวน 1 พันคัน จากเดิมที่มีรถพร้อมให้ลูกค้าเช่าจำนวน 4.5 พันคัน คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท โดยมาจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินในสัดส่วน 80-90% และที่เหลือมาจากเงินทุนหมุนเวียน
*มั่นใจรายได้-กำไรปี 50 เติบโตในทิศทางเดียวกันที่ 10-15%
นายพิเทพ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า บริษัทยังเชื่อว่ากำไรจะเติบโตกว่าปีก่อน 10-15% และรายได้ก็จะมีทิศทางเดียวกันจากอัตราการเช่ารถที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าหันมาเช่ารถแทนการซื้อรถกันมากขึ้น โดยบริษัทคาดว่าจำนวนการเช่ารถภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 5 พันคัน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 6 พันคันในปีหน้า ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตน่าจะดีกว่าปีนี้
"ปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีนัก ผมคิดว่าปีหน้าไม่น่าจะแย่กว่าปีนี้ แต่จะดีมากขึ้นหรือน้อยขนาดไหนคงต้องดูหลังการเลือกตั้งอีกที"นายพิเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้ขายรถที่มีอายุการใช้งานตามกำหนด 3-4 ปีเป็นรถมือ 2 จำนวน 800 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขายไปประมาณ 650 คัน โดยขายที่ราคาเฉลี่ย 4.5 แสนบาท/คัน จึงส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
นายพิเทพ กล่าวว่า บริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลประกอบการในปีนี้เหมือนกับปีก่อน ๆ อย่างแน่นอน โดยเพาะในปีนี้น่าจะมีกำไรต่อหุ้น(EPS)สูงกว่าปีก่อน ส่วนจะจ่ายในอัตราเท่าใดนั้นคณะกรรมการบริหารจะพิจารณาในช่วงสิ้นปี พร้อมกับการพิจารณาแผนงานในปี 51
"ตอนนี้กำไรต่อหุ้นเราสูงกว่าปีที่แล้ว แต่ว่าปีนี้จะจ่ายปันผลในอัตราเท่าไหร่ต้องรอมติบอร์ด คาดว่าในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไปคือเดือน พ.ย.หลังจบงบ Q3 ก็คงจะยังไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ คงจะดูอีกหลังจบปีนี้พร้อมๆกับแผนงานปีหน้า"นายพิเทพ กล่าว
*ชะลอแผนออกหุ้นกู้ 1 พันลบ.
นายพิเทพ กล่าวถึงแผนการออกหุ้นกู้ราว 1 พันล้านบาทว่า ในปีนี้บริษัทคงจะชะลอแผนออกหุ้นกู้ไปก่อน เพราะยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในการเช่าซื้อรถยนต์ หรือการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ยังอยู่ในระดับค่อนข้างดี ส่วนในปีหน้าจะดำเนินการหรือไม่จะพิจารณาในประเด็นต้นทุนทางการเงินและอัตราดอกเบี้ยในตลาดเป็นหลัก
"ตอนนี้เรื่องสภาพคล่องเราก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงยังไม่ใช้วิธีอื่นในการจัดหาเงิน โดย D/E อยู่ที่ 2.2 เท่า จาก 2 เท่าเมื่อตอนต้นปี และจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับนี้จนถึงสิ้นปี คงไม่เพิ่มหรือลดลง"นายพิเทพ กล่าว
*ยังไม่สรุปการเจรจาพันธมิตร หลังเหลือ 1 รายจากที่สนใจ 2 รายตอนต้นปี
นายพิเทพ กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องการหาพันธมิตรเข้ามาสนับสนุนธุรกิจว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจมาเป็นพันธมิตร 1 ราย ซึ่งลดลงจากที่มีอยู่ 2 รายในช่วงต้นปี ซึ่งรายที่เหลืออยู่เป็นผู้ประกอบการในประเทศ แต่คงยังไม่เห็นความชัดเจนในเร็วๆนี้ เพราะยังไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ
"เรื่องพันธมิตรเราไม่ได้ขีดเส้นไว้ว่าต้องสรุปเมื่อไหร่ มันจะเร่งรัดให้ต้องรีบตัดสินใจ เอาเป็นว่าถ้าลงตัว คงจะเดินหน้าทางนี้ แต่ถ้าไม่ลงตัวหรือยังไม่ถูกอย่างมาตรการที่ตั้งไว้ก็ต้องรอออกไปก่อน"นายพิเทพ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--