หุ้นในกลุ่มแบงก์ร่วงยกแผง เมื่อเวลา 11.11 น.นำดิ่งโดยหุ้น TTB ลบ 3.70% มาอยู่ที่ 1.04 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 389.25 ล้านบาท
หุ้น KBANK ลบ 2.56% มาอยู่ที่ 114.00 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,595.66 ล้านบาท
หุ้น BAY ลบ 2.42% มาอยู่ที่ 30.25 บาท ลดลง 0.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 16.24 ล้านบาท
หุ้น BBL ลบ 2.31% มาอยู่ที่ 105.50 บาท ลดลง 2.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 728.48 ล้านบาท
หุ้น SCB ลบ 2.12% มาอยู่ที่ 92.50 บาท ลดลง 2.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 844.61 ล้านบาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์เช้านี้ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า คาดว่าจะเป็นการรับ Sentiment ลบ จากกระแสข่าวที่อาจจะมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นในประเทศ หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศไม่ดีขึ้น โดยวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดก็มีกว่า 7 พันราย ส่งผลทำให้กังวลผลดำเนินงานของกลุ่มแบงก์จะไม่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) ซึ่งปัญหาเรื่องโควิดระบาดในต่างประเทศก็เจอเหมือนกัน อย่าง Emerging Market ประเทศที่ยังฉีดวัคซีนได้น้อยอยู่ ทำให้มีหลายประเทศต่างก็ล็อกดาวน์อีกครั้ง
แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มแบงก์ยังมองในเกณฑ์ที่ดีอยู่ โดยเฉพาะผลดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/64 คาดว่าจะออกมาดี และภาพระยะกลาง-ยาวของกลุ่มแบงก์ก็ยังมี Outlook ที่ดีขึ้นในปลายไตรมาส 3/64 หรือไตรมาส 4/64 หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนกันได้มากขึ้น และการกลับมาของการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อหุ้นในกลุ่มแบงก์เมื่อราคาอ่อนตัวลง และให้ถือไป 6 เดือน โดยแนะนำหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ส่วนหุ้นที่ให้ปันผลดีก็แนะนำหุ้น บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
สำหรับหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ของกลุ่มแบงก็มีการเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ทางแบงก์ก็มีการตั้งสำรองฯไว้เพียงพอ จึงไม่น่าเป็นห่วง อีกทั้งภาครัฐฯก็ยังให้ความช่วยเหลือกลุ่มแบงก์เหมือนกัน หลังจากที่แบงก์ต้องช่วยอุ้มลูกหนี้ที่มีปัญหาตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐฯ