นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ (PACO) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้โตทะลุเป้า 15% หรือมาอยู่ที่ 800 ล้านบาท และจะแตะ 1 พันล้านบาทภายในปี 65 หลังตลาดต่างประเทศฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท ขณะที่ปัจจุบันมีออเดอร์รองรับแล้วถึงเดือน พ.ย. และยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับจ้างผลิต (OEM) กับค่ายรถยนต์ 2-3 ค่าย คาดเห็นความชัดเจนในไตรมาส 3/64 นี้
"ปีนี้เราเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ทั่วโลกฟื้นตัวดี มีคำสั่งซื้อรถยนต์ใหม่และอะไหล่รถยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยตลาดส่งออกหลักของบริษัท คือ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำมันที่มากขึ้น จากการเปิดเมืองของสหรัฐฯและทวีปยุโรป ทำให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อแอร์รถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าหลักเพิ่มขึ้นอย่างมาก" นายสมชาย กล่าว
บริษัทยังได้รับผลดีจากเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลง เนื่องจากรายได้หลักของบริษัทซึ่งมาจากการส่งออกกว่า 60% ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวลดลง รวมไปถึงปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่บริษัทได้จัดการจองตู้ล่วงหน้าไว้แล้วในปีนี้
ส่วนตลาดในประเทศมีแผนขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub ให้ถึง 300 สาขาภายในปีนี้ จากนั้นจะเดินหน้าขยายให้ถึง 500 สาขาในปี 65 และอีก 3 ปีข้างหน้าจะครบ 1,000 สาขา โดยใช้งบลงทุนสาขาละ 50,000 บาท ปัจจุบันมีแล้ว 200 สาขา เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายและเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า ตลอดจนสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศอีกด้วย
สำหรับแผนดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะนำผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นส่วนช่วงล่างรถยนต์ เช่น ยาง ลูกหมาก ในไตรมาส3/64 และสินค้า ไดร์ชาร์จ ไดร์สตาร์ทในไตรมาส 4/64 เพื่อสร้างรายได้และกำไรอีกช่องทางหนึ่ง เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมดำเนินการผลิตได้ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
อีกทั้งยังมีสินค้ากลุ่มใหม่เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ของโลก คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจากแบตเตอรี่คูลเลอร์ ซึ่งเป็น 1 ในชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV และ PHEV (Plug-in Hybrid) ซึ่งขณะนี้ได้ผลิตแบตเตอรี่คูลเลอร์สำหรับ Tesla ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลก
สินค้าดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 50% และบริษัทเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนรายแรกของไทย ที่เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ปัจจุบันได้ส่งสินค้าไปยังบังคลาเทศ ศรีลังกา และเริ่มส่งไปสิงคโปร์แล้ว ด้านตลาดสหรัฐฯจะเริ่มส่งมอบในไตรมาส 4/64
"การเปิดตัวแบตเตอรี่คูลเลอร์ในปีนี้ อาจจะมียอดขายไม่สูงมาก แต่เป็นการปูตลาดเพื่อรองรับการเติบโตในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้รวม โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และจะเข้ามาแทนที่ตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป และ ประเทศจีนซึ่งเป็น 1 ในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากทุกปี มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแบรนด์ และ สามารถพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่รองรับระยะทางที่ไกลขึ้น (400-500 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง อีกทั้งแบตเตอรี่มีราคาถูกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ Plug-in Hybrid ทั่วโลกมากกว่า 11 ล้านคัน ณ สิ้นปี 63 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 230 ล้านคันภายในปี 73 จึงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่พอสมควร" นายสมชาย กล่าว