หุ้น TU ราคาขยับขึ้น 3.35% มาอยู่ที่ 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 485.15 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.43 น. โดยเปิดตลาดที่ 21.40 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 21.60 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 21.00 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งในไตรมาส 2/64 เติบโตทั้ง QoQ, YoY จากยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงจากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและควบคุมต้นทุน ขณะที่ Red Lobster ฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดเมือง พร้อมคาดว่ากำไรไตรมาส 3/64 ดีต่อเนื่อง โดยได้ผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า และเชื่อว่ากำไรปีนี้มีโอกาสดีกว่าที่เคยประเมิน ด้วยทิศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจึงปรับ PE Valuation จาก 13 เท่า เป็น 16 เท่า (อิง PE -0.5 SD) ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 22.10 บาท จากเดิม 18 บาท
เบื้องต้นประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/64 เพิ่มขึ้น 7% QoQ และ 25% YoY เป็น 1,910 ล้านบาท เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่า และเข้าสู่ไฮซีซั่นของการขาย อาหารทะเลแช่แข็งมียอดขายฟื้นตัวสูงจากการที่ร้านอาหารในสหรัฐฯ กลับมาเปิดมากขึ้นหลังจากการเปิดเมือง ส่วนกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายชะลอลงจากฐานสูงในปีก่อนที่มีการตุนสินค้าในช่วงล็อกดาวน์ แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวค่อนข้างสูง เนื่องจากควบคุมต้นทุนได้ดีและราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังต่ำ ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีต่อเนื่อง จึงประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ TU จะอยู่ในระดับสูงที่ 18% (เพิ่มจาก 17.7% ในไตรมาส 1/64) นอกจากนั้นคาดว่า Red Lobster จะขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนที่มีมีล็อกดาวน์ เนื่องจากการเปิดเมืองในสหรัฐฯ โดยคาดว่า TU จะจ่ายเงินปันผลในครึ่งปีแรก (H1/64) เท่ากับ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.7%
หากกำไรไตรมาส 2/64 เป็นไปตามที่คาด จะทำให้กำไรครึ่งปีแรก (H1/64) คิดเป็น 56% ของประมาณการทั้งปี เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นครึ่งปีแรก (H1/64) ที่ 17.8% ดีกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ที่ 17.0% จากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรดี รวมทั้งควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงาน ขณะที่ผลประกอบการของ Red Lobster มีแนวโน้มดีกว่าคาด โดยขาดทุนลดลงมากกว่า 50% จากปีก่อน