โบรกเกอร์ยังแนะ"ซื้อ"หุ้น SCC เพื่อรอรับผลดีภาพรวมเศรษฐกิจโงหัวเต็มที่หลังการเลือกตั้งใหม่ปลายปี ซึ่งน่าจะทำให้ภาวะต่าง ๆ ของประเทศกลับคืนมาสู่ปกติ ความเชื่อมั่นที่มีมากขึ้นจะช่วยผลักดันการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการลงทนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การก่อสร้างมีโอกาสบูมเต็มที่
SCC เป็นหุ้นที่ยัง underperform ตลาด นักลงทุนต่างชาติเวียนเข้ามาเล่นมากขึ้นหลังหุ้นพลังงานเริ่มแพง และ SCCยัง Laggard ขณะที่ราคาสเปรดปิโตรเคมียังทรงตัวอยู่ในระดับสูง คาดผลประกอบการไตรมาส 3/50 ดีขึ้นจากปิโตรฯต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/50
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.นครหลวงไทย ซื้อ 320
บล.กสิกรไทย ซื้อ 306
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 302
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 302
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 347
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า หุ้น SCC ปรับขึ้นช่วงก่อนหน้านี้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค Consumer Confidence ที่ปรับตัวดีขึ้น และการฟื้นตัวของภาคการลงทุน ซึ่งเป็นตัวเลขด้านการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือน นักลงทุนมองเป็นระยะยาวพอควร ขณะที่ราคาสเปรดของปิโตรเคมีทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็น 2 ประเด็นหลัก ส่วนงบไตรมาส 3/50 น่าจะทรงๆ ใกล้กับไตรมาส 2/50
ส่วนกำไรจากการขายหุ้น ATC ก็จะเป็นกำไรบันทึกเข้ามาในไตรมาส 3 แต่ก็ไม่ได้เป็นโอเปอเรชั่น และไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้คนมาลงทุนใน SCC ทำให้ราคาวิ่งขนาดนี้
"คงเป็นลักษณะของ Consumer Confidence ที่กลับมามากกว่า ตอนนี้เป็น Domestic play ไปแล้วสำหรับหุ้น SCC ยังซื้อได้ ราคาที่เหมาะสม 320 บาท" น.ส.มยุรี กล่าว
นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า เนื่องจากนักวิเคราะห์ได้เปลี่ยนมุมมองในทางบวก (Earnings Revision) ของ SCC ขึ้นมาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่อง flow ต่างชาติที่เข้ามา และหุ้น SCC ยัง Laggard เมื่อเทียบกับหุ้น Big cap ตัวอื่นๆ คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นนี้ที่ทำให้หุ้นได้รับความสนใจ
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/50 น่าจะดีขึ้นเพราะปกติไตรมาส 2/50 จะเป็น low season ตามธุรกิจปูนซิเมนต์เนื่องจากวันหยุดเยอะและเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ส่วนไตรมาส 3 ปกติจะเป็นไตรมาสที่ค่อนข้างฟื้นตัว และคงเป็นการคาดการณ์ถึงไตรมาส
4 ด้วยที่จะเป็น high season ของธุรกิจปูน ยังซื้อได้ให้ราคาเป้าหมาย 306 บาท
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ประเด็นเก็งกำไร SCC มีทั้งเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่จะเริ่มในปี 51 การฟื้นตัวของการก่อสร้างตามภาวะเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงให้ความสนใจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวดี จึงแนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาพื้นฐาน 302 บาท จากราคาเทรด 276 บาท ยังมี upside อีก 10%
"ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นค่อนข้างซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่า SET ทั้งๆ ที่ตัวธุรกิจของ SCC มีรวมหลายธุรกิจไม่เฉพาะปูนซิเมนต์แต่จะมีตัวปิโตรเคมีด้วย และปิโตรเคมีที่อยู่ในตลาดปรับขึ้นไปเยอะแล้ว ทั้ง PTTCH และ ATC ซึ่ง SCC ก็มีปิโตรเคมีแฝงอยู่ในนั้นด้วย จุดเด่นคือมีการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ คาดให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลเกือบ 6% ในปีนี้" นายสมบัติ กล่าว
นอกจากนี้ ปีหน้าเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาก็น่าจะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น รวมทั้งจะมีการอก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ ส่วนในไตรมาส 3/50 ธุรกิจจะแข็งแกร่งจากปิโตรเคมี เพราะราคาขายของ HDPE Naphtha และ PP Naphtha มีราคาขายที่สูงช่วยกระตุ้นให้ผลประกอบการไตรมาส 3/50 ออกมาดีกว่าไตรมาส 2/50 ซึ่งจะไปชดเชยธุรกิจปูนที่ปีนี้จะชะลอลง และเป็นช่วงฤดูฝนทำให้การก่อสร้างมีน้อย
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ สถาบันวิจัย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น SCC เป็นหุ้นที่ต่างชาติซื้อเป็นลักษณของ fund flow ที่ไหลเข้ามาใหม่ เมื่อซื้อพลังงานแล้วก็จะเวียนมาซื้อหุ้นบลูชิพอย่าง SCC
"พอทุนเข้ามากลุ่มที่แพงแล้วก็จะต้องชะลอและมี take profit ตัวที่เป็นหุ้นบลูชิพพื้นฐานดี ส่วน SCC เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจยังไม่เอื้อ แม้จะมีแนวโน้มคาดว่าปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้ก็ตามแต่หุ้นยัง underperform ยังไม่ขึ้น" นายอดิศักดิ์ กล่าว
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มผู้รับเหมามากกว่า แต่ก็ส่งผลดีทางอ้อมกับปูนซิเมนต์ในเชิงบวกบ้าง แต่ธุรกิจปูนต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นปูนก็จะดี ในเชิงพื้นฐานยังแนะนำซื้อได้ เพราะในอนาคตทางด้านปิโตรเคมีน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ให้ราคาตามมูลค่าพื้นฐานที่ 302 บาท
บล.กรุงศรีอยุธยา คาดการณ์กำไรปกติ SCC ใน 3Q50 ไว้ที่ 6,817 ล้านบาท(+31%QoQ,-20%YoY)โดยกำไรปกติมีแนวโน้มดีขึ้นมากจากไตรมาสก่อนเพราะได้แรงหนุนจากภาคปิโตรเคมีที่ HDPE-Naphtha Spread พุ่งไปอยู่ที่เฉลี่ย $690-700/ตัน (จาก $611/ตัน ใน 2Q50) จึงช่วยบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคปูนซิเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และกระดาษไปได้ เพียงแต่ HDPE-Naphtha Spread ที่ดีขึ้นนี้ยังไม่มากเท่ากับ 3Q49 ที่เคยทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี ที่ $731/ตัน จึงทำให้กำไรปกติยังคงด้อยกว่า 3Q49 ที่ -20%YoY
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกับรายการพิเศษ คือ กำไรจากการขายหุ้น ATC รวม 1.8 พันล้านบาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดการณ์กำไรสุทธิ SCC ไว้ที่ 8,617 ล้านบาท เติบโต 13%YoY
ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้น SCC ยังคงอยู่ที่ความเป็นผู้นำในธุรกิจและมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้บริษัททนแรงเสียดทานของเศรษฐกิจชะลอตัวได้ และจะกลับมาได้ประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจในประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ ที่เริ่มมีความหวังว่าจะเกิดขึ้นในปี 51 ภายหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะนำมาสู่การลงทุนโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ และความมั่นใจต่อการลงทุนของภาคเอกชน อันจะส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวธุรกิจซิเมนต์และค้าวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะสะท้อนให้การฟื้นตัวของผลประกอบการของ SCC ได้ในปี 52
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--