ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ “แทค" ที่ระดับ “A/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 3, 2007 07:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

            บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน (TAC089A, TAC089B, TAC098A, TAC09OA, TAC09OB, TAC109A, TAC118A) ของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (แทค)  ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการแข่งขันของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 2 ของไทย และความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงที่การแข่งขันทางการตลาดมีความรุนแรง 
นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และภาระหนี้ของบริษัทที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่ยังคงรุนแรง การลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อการขยายโครงข่ายและความสามารถในการให้บริการ รวมทั้งความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยี และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านการสื่อสารโทรคมนาคม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่า ภายใต้การดูแลของคณะผู้บริหารชุดปัจจุบัน แทคจะยังคงความสามารถในการแข่งขันและสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานที่เพียงพอสำหรับการขยายโครงข่ายได้โดยไม่ส่งผลให้ระดับของเงินกู้ยืมสูงมากขึ้นจากปัจจุบัน แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหมายว่ากฎระเบียบใหม่ที่ออกโดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะไม่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อผลประกอบการและฐานะทางการเงินของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในช่วงปี 2542-2547 จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 60% ต่อปี และลดลงมาที่ระดับ 12% ในปี 2548 เมื่ออัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากรในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 49%
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นนับจากต้นปี 2549 เมื่อผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้กลยุทธ์แจกซิมการ์ดโดยไม่คิดมูลค่า รวมถึงลดอัตราค่าโทร และขยายเครือข่ายสู่ต่างจังหวัดเพื่อกระตุ้นจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 อัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากรในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 74% โดยปรับขึ้นจาก 63%
ณ สิ้นปี 2549 คาดว่าจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หลังจากนั้น อุตสาหกรรมจะสามารถเติบโตต่อไปได้ก็ต่อเมื่อกฎระเบียบด้านโทรคมนาคมมีความชัดเจนอันเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนใหม่และกระตุ้นการเติบโตของบริการอื่นนอกเหนือจากบริการด้านเสียง (Non-Voice)
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แทคสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้ได้ที่ประมาณ 30% นับตั้งแต่ปี 2545 ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเป็นผู้ริเริ่มในด้านการส่งเสริมราคา การเจาะกลุ่มลูกค้าเพื่อให้บริการตามความต้องการที่แตกต่างกันไประหว่างลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร และกลยุทธ์การเอาใจใส่ลูกค้าเป็นสำคัญ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 บริษัทมีลูกค้าประมาณ 14.5 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้น 19% จากสิ้นปี 2549 ทั้งนี้ ลูกค้าประเภทใช้บัตรเติมเงิน (Prepaid) ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้
บริษัทมีโครงข่ายซึ่งครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากกว่า 90% ของจำนวนประชากร และมีแผนจะขยายโครงข่ายเพิ่มโดยเฉพาะในเขตต่างจังหวัดที่ยังมีความต้องการอยู่อีกมาก บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มรายได้จากบริการ Non-Voice โดยการพัฒนาโครงข่ายเพื่อรองรับนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น EDGE (Enhance Data-rates for GSM Evolution) และเทคโนโลยี 3G ด้วย
แทคได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการลงทุนจาก Telenor ASA ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมจากประเทศนอร์เวย์ในรูปของความช่วยเหลือทางการบริหารโดยผ่านทางตำแหน่งผู้บริหารและกรรมการบริษัท โครงการจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัทแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2550 ซึ่งรวมถึงการเสนอขายหุ้นครั้งแรกจำนวน 222 ล้านหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งผลให้ Telenor Asia ถือหุ้นในสัดส่วน 1 ใน3 ของบริษัทและอีก 1 ใน 3 ถือโดย Thai Telco Holdings Co., Ltd. ในขณะเดียวกัน บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นบริษัทย่อยโดยมีแทคถือหุ้น 100%
แทคมีความแข็งแกร่งทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge) แทนค่าเชื่อมโยงเครือข่าย (Access Charge) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลสรุปแน่นอนว่ากฎหมายอนุญาตให้บริษัทหยุดจ่ายค่าเชื่อมโยงเครือข่ายได้หรือไม่ ซึ่งความเสี่ยงทางด้านกฏหมายดังกล่าวจะยังคงมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทต่อไป
บริษัทประสบความสำเร็จในการลดภาระเงินกู้มาโดยตลอด โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 60% ในปี 2546 เป็น 43% ณ เดือนมิถุนายน 2550 นอกจากนี้ ระดับอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทยังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2546 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเงิน 3,100 ล้านบาทที่ได้จากการเสนอขายหุ้นและผลประกอบการที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม งบประมาณการลงทุนเพื่อการขยายโครงข่ายการให้บริการและรองรับเทคโนโลยี 3G คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้และอาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถนำเงินจากการดำเนินงานมาใช้ลดภาระหนี้ไปสักระยะหนึ่ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ