CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ซื้อ TU คาดกำไร Q2/64 ดี ขานรับมาร์จิ้นสูง-เงินบาทอ่อนค่าหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 12, 2021 13:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป (TU) คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 ออกมาดี จากยอดขายอาหารแช่แข็งเติบโตตามการเปิดเมือง ทั้งในฝั่งยุโรปและสหรัฐ โดยเฉพาะในสหรัฐร้านอาหารกลับมาเปิดกว่า 97% ช่วยหนุนยอดขายอาหารแช่แข็ง และเงินบาทอ่อนค่า และอัตรากำไรขั้นต้นหรือมาร์จิ้นก็อยู่ในระดับสูงราว 18% รวมทั้งร้าน Red Lobster กลับมาเปิดได้มากขึ้น ทำให้คาดว่าไตรมาส 2/64 ผลขาดทุนจะลดลง

ทั้งนี้ ประเมินว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 จะอยู่ที่ 1,910-2,018 ล้านบาท เติบโต 7-12% QoQ (เทียบกับไตรมาส 1/64) และโต 25% YoY (เทียบกับไตรมาส 2/63)

แนวโน้มกำไรยังแข็งแกร่งต่อในไตรมาส 3/64 ที่เป็นช่วงพีคและเงินบาทอ่อนค่า ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเป็นทิศทางขาขึ้น และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีตาม demand ที่เพิ่มขึ้นและการออกสินค้าใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ Red Lobster มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ยั่งยืนมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง

พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 มาอยู่ในช่วง 7,025-8,079 ล้านบาท

ราคาหุ้น TU ปิดเช้าวันนี้ที่ 21.90 บาท ลดลง 0.20 บาท (-0.90%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดลบ 0.44 จุด

          โบรกเกอร์ 		    คำแนะนำ		ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          หยวนต้า		   ซื้อเก็งกำไร 			21.00
          ฟิลลิป			   ซื้อเก็งกำไร			21.80
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง	   ซื้อเก็งกำไร 			22.10
          ทรีนิตี้			      ซื้อ			23.00
          ทิสโก้			      ซื้อ			24.00
          เอเชียเวลท์              ซื้อเก็งกำไร                  24.00
          คันทรี่กรุ๊ป           	      ซื้อ		 	24.10
          เคทีบีเอสที                  ซื้อ                      25.00
น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงล็อกดาวน์กลุ่มอาหาร เช่น TU เป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรสุทธิของ TU ในไตรมาส 2/64 ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,910 ล้านบาท เติบโต 7% QoQ และโต 25% YoY เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น หรือมาร์จิ้นทำได้ดีมาที่ 18% จากเดิมอยู่ระดับ 15-16% ในปีก่อน ซึ่งมาร์จิ้นได้ทรงตัวระดับนี้ในไตรมาส 1/64 ที่ 17.7% เนื่องจากควบคุมต้นทุนได้ดีและราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังต่ำ เน้นขายสินค้าที่มีกำไรดี ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งอาหารสัตว์เลี้ยงมีมาร์จิ้นสูงในไตรมาส 2/64 ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และเข้าสู่ไฮซีซั่นของการขาย อาหารทะเลแช่แข็งมียอดขายฟื้นตัวสูงจากการที่ร้านอาหารในสหรัฐฯ กลับมาเปิดมากขึ้นหลังจากการเปิดเมือง
นอกจากนี้ Red Lobster ที่ TU ถือ 25% ปีนี้คาดว่าปีนี้ยังขาดทุน แต่ลดลงมากกว่า 50% จากปีก่อนที่ขาดทุน 1,200 ล้านบาท โดยค่อย ๆ ดีขึ้นจากปรับการบริหารจัดการ ค่าเช่า ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ไตรมาส 1/64 พลิกเป็นกำไร และเป็นช่วงที่ขายดี และไตรมาส 2/64 ก็คาดยังขาดทุน แต่ลดลงจากปีก่อน เพราะร้านอาหารในสหรัฐให้มานั่งทานที่ร้านได้กว่า 97% คนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
แนวโน้มกำไรยังแข็งแกร่งต่อในไตรมาส 3/64 ที่เป็น Peak Season และเงินบาทอ่อน ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเป็นทิศทางขาขึ้น และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีตาม Demand ที่เพิ่มขึ้นและการออกสินค้าใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ Red Lobster มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ยั่งยืนมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง อีกทั้งยอดขายฟื้นตัวจากการเปิดร้านให้นั่งทานได้แล้วกว่า 97% ของจำนวนร้านทั้งหมด จะทำให้แนวโน้มกำไรปีนี้อาจดีกว่าที่คาด
"มองว่าปีนี้ น่าจะทำให้ได้ดีกว่าที่ประมาณการไว้ อาจทบทวนปรับประมาณการขึ้น การประเมินมูลค่าหุ้นเราปรับแล้ว เพราะเห็นทิศทางธุรกิจแข็งแกร่ง"
ส่วนนักวิเคราะห์จาก บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า งบการเงินในไตรมาส 2/64 ของ TU ออกมาดูดีมาก แม้ว่าธุรกิจอาหารแปรรูปหรืออาหารกระป๋องอาจขายไม่ดี แต่หลังจากได้พูดคุยกับบริษัทพบว่า อาหารแช่แข็งกลับมามียอดขายดีขึ้น เนื่องจากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯเปิดเมือง โดยเฉพาะสหรัฐ คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ทำให้ร้านอาหารกลับมาเปิด ซึ่งเชื่อมโยงกับยอดขายอาหารแช่แข็ง แม้ว่ามาร์จิ้นของอาหารแช่แข็งจะต่ำแต่สัดส่วนยอดขายมีอยู่สูง ทำให้มาร์จิ้นในไตรมาส 2/64 ทรงตัวในระดับ 18.2% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/63
ขณะที่ธุรกิจ Red Lobster ในไตรมาส 1/64 เริ่มดีขึ้น และไตรมาส 2/64 ร้านอาหารสามารถเปิดได้กว่า 90% แต่การนั่งทานในร้านยังไม่สามารถเปิดได้เต็มที่ ซึ่งทำให้ยังมีผลขาดทุนอยู่ แต่ลดลง คาดมีผลขาดทุน 100-200 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังดูดี ทั้งอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง เพราะตลาดต่างประเทศทั้งยุโรป และสหรัฐฯ ฟื้นตัว และแม้ว่าจะเริ่มมีการระบาดโควิดสายพันธุ์เดลต้า แต่ต่างประเทศมีการฉีดวัคซีนได้มากน่าจะเป็นตัวป้องกันได้ดี
นอกจากนี้ ยังมีโรงงานที่ จ.สงขลา ซึ่งหยุดการผลิตไป 2 สัปดาห์ เพราะมีพนักงานติดเชื้อโควิด ได้กลับมาเปิดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ช่วงแรกใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 50% และน่าจะกลับเข้าสู่การผลิตได้ตามเดิมในเดือน ส.ค. 64 ทั้งนี้ ส่วนนี้จะกระทบงบในไตรมาส 3/64 อย่างไรก็ตาม รายได้จากโรงงานที่สงขลามีสัดส่วนรายได้ราว 5% ถือว่าค่อนข้างต่ำ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเป็นบวกต่อ TU
จากกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/64 ที่คาดว่าจะถึงระดับ 2,000 ล้านบาท ทำให้กำไรในช่วงครึ่งแรกปี 64 มีลุ้นสูงถึง 3,800 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 64 แม้ว่าจะมีฐานที่สูงแต่ด้วยผลดี จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจะช่วยชดเชยผลดังกล่าวได้ จึงปรับประมาณการปี 64 ขึ้นจากเดิม 7% มาอยู่ที่ระดับ 7,025 ล้านบาท เติบโต 12%YoY และในปี 65 คาดกำไรสุทธิ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7-8%YoY ดังนั้นจึงได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 24.10 บาท จากเดิมราคาพื้นฐาน 20.90 บาท
ด้าน บล.ทรีนิตี้ คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 ที่ 2,018 ล้านบาท เติบโต 12%QoQ และ 25%YoY โดยคาดรายได้เติบโตราว 9%QoQ หลังเริ่มเข้า High Season ของธุรกิจ บวกกับยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการเปิดเมืองในหลายประเทศ ขณะที่ยอดขายอาหารทะเลกระป๋องอาจอ่อนตัวลงมาบ้างหลังจากช่วงที่มีการปิดเมืองได้รับอานิสงส์ค่อนข้างมาก ทั้งนี้แม้สัดส่วน Product mix ที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นบ้าง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ฟื้นตัวด้วย ส่งผลให้ภาพรวมคาดอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูงที่ 18.1%

สำหรับธุรกิจของ Red Lobster ฟื้นตัวแข็งแกร่ง YoY หลังกลับมาเปิดสาขาให้บริการได้ แต่เทียบ QoQ อาจอ่อนตัวลงเนื่องจากปกติไตรมาสแรกเป็น High Season ของธุรกิจ ส่งผลให้เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน หากกำไรงวดไตรมาส 2/64 เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นราว 59% ของกำไรทั้งปี 2564 ที่เดิมคาดไว้ที่ 6,522 ล้านบาท (+7%YoY) โดยแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปียังดูสดใส ทั้งจากการฟื้นตัวของยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง การฟื้นตัวของธุรกิจ Red Lobster และการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องแม้คาดว่าจะอ่อนตัวลงบ้างหลังหมดอานิสงส์ของการปิดเมือง แต่ยังเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปิดเมือง

นอกจากนี้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของทุกธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงปรับประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้นราว 24% และ 9% จากประมาณการเดิม ขึ้นมาอยู่ที่ 8,079 ล้านบาท (+29%YoY) และ 7,579 ล้านบาท (-6.19%YoY) ตามลำดับ และให้ราคาเป้าหมายใหม่ 23 บาทจากการปรับประมาณการ อิงวิธี DCF แม้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา แต่ยังพอมี Upside จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

บทวิเคราะห์ฯจาก บล.เคทีบีเอสที ระบุ ปรับกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น โดยประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/64 ที่ 1,885 ล้านบาท (+25% YoY, +7% QoQ) เติบโตโดดเด่น YoY จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/63 ที่มีการล็อกดาวน์ในสหรัฐอเมริกากระทบต่อผลการดำเนินงานของ Red Lobster อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่เติบโต QoQ จากธุรกิจ frozen seafood ฟื้นตัวจากช่วง Low season ในช่วงไตรมาส 1/64 และธุรกิจ Pet food เติบโตได้ดี และคาด gross margin ขยายตัวเป็น 18.2% จากไตรมาส 1/64 ที่ 17.7% เป็นผลจากค่าเงินบาทอ่อนค่า

พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น +9% อยู่ที่ 7,116 ล้านบาท (+14% YoY) และกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น +9% อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท (+5% YoY) ตามลำดับ จาก 1) ปรับ gross margin ขึ้นเป็น 17.5% จาก 16.8% จากค่าเงินบาทอ่อนค่า และ product mix 2) Net margin ของบริษัทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก product mix ที่เปลี่ยนแปลง และ cost reduction program

ทั้งนี้ ราคาหุ้น outperform SET +27% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา และ +53% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/64 ที่ดีกว่าคาด คงคำแนะนำ "ซื้อ" จากแนวโน้มกำไรที่ยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 64 ที่ได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และแนวโน้มกำไรระยะยาว ที่จะเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่มีอัตราการทำกำไรที่สูง และจะลดการพึ่งพิงธุรกิจที่อิงสินค้า commodity ดังนั้น ราคาหุ้นไม่ควรเทรดที่ discount valuation อีกต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ