นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ (AP) กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกของปี 64 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายและยอดโอนได้เป็นสถิติสูงสุด
บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 1.78 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียกับครึ่งปีแรกของปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตท่ามกลางวิกฤติที่โหมหนักได้อย่างแข็งแกร่ง สามารถบริหารจัดการการขายและการโอนได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 28% โดยเฉพาะไตรมาส 2/64 เพียงไตรมาสเดียวโครงการแนวราบมียอดขายสูงกว่า 9.1 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรได้อย่างชัดเจนถึงแม้ที่ผ่านมาบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 5 โครงการ มูลค่า 4.6 พันล้านบาท
ขณะที่ยอดโอนครึ่งปีแรกคาดว่าจะสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท และมั่นใจการปิดไซต์ก่อสร้างไม่มีผลกระทบต่อเป้ารายได้ทั้งปีนี้
ดังนั้น บริษัทจึงยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4.31 หมื่นล้านบาท แม้ยังมีปัจจัยกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้มีมาตรการควบคุมออกมาเข้มงวด รวมถึงกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทมองว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงมีความพร้อมในการโอนที่อยู่อาศัยอยู่ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจลูกค้าของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการที่จะทยอยโอนที่อยู่อาศัยค่อนข้างมากในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทั้งโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทจะมีการโอนโครงการที่เป็นอยู่ในยอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีกราว 2.6 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มี 4.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือมีโอกาสทำได้เกินเป้าหมายหากโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลัง 2 โครงการ คือ โครงการ Life Asoke Hype และ Life Ladproa Valley โอนได้มากกว่าที่บริษัทคาดไว้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ส่วนการขายที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะมีปัจจัยของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เข้ามากดดันอยู่บ้าง แต่ความต้องการเข้าเยี่ยมชมโครงการยังมีอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ลูกค้ายังมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก หลังจากพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยในการทำงานและใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น ทำให้ในปีนี้ยอดขายและยอดโอนจากโครงการแนวราบยังคงเป็นสินค้าหลักที่ผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานให้กับบริษัทได้อย่างโดดเด่น
ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ตำแหน่งทางการตลาดของสินค้าใหม่สำหรับแบรนด์ Aspire ที่จะลงมาจับตลาดในกลุ่ม Mass มากขึ้น ในระดับราคา 55,000-65,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งทำให้บริษัทสามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าออกไปได้กว้างขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานและมีรายได้ระดับหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้กับรถไฟฟ้าในราคาที่จับต้องได้ และเป็นกลุ่มสินค้าที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายของคอนโดมิเนียมในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงชะลอตัว และในภาวะเศรษฐกิจยังไม่หลับมาชัดเจน ทำให้สร้างโอกาสในการขายให้กับบริษัท
ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเปิด 2 โครงการแบรนด์ Aspire ที่ปรับแบรนด์สินค้าใหม่ ได้แก่ โครงการ Aspire รัตนาธิเบศร์-เวสตัน มูลค่า 1.6 พันล้านบาท และโครงการ Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ มูลค่า 1.2 พันล้านบาท รวมถึงจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ Life อีก 2 โครงการในครึ่งปีหลัง ได้แก่ โครงการ Life พระราม 4-อโศก มูลค่า 6.7 พันล้านบาท และโครงการ Life ลาดพร้าว สเตชั่น มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.55 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองภาพในช่วงไตรมาส 4/64 มีโอกาสที่ภาพรวมในประเทศจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังเผชิญมาต่อเนื่องตลอดทั้งปี 64 จากการที่ภาครัฐเร่งการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาด และการเร่งฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นลักษณะที่คล้ายกับประเทศขนาดใหญ่ในโลกอย่างสหรัฐและจีน ที่ในช่วงแรกที่มีวัคซีนและเริ่มฉีด ยังมีผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามาอยู่ แต่เมื่อการฉีดวัคซีนเร่งตัวขึ้นมาก ทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดเริ่มควบคุมได้ และมีผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้เปิดเศรษฐกิจในประเทศกลับมา ซึ่งสำหรับประเทศไทยคาดว่าจะเป็นภาพในลักษณะเดียวกัน โดยที่ยังคงต้องรอระยะเวลาของการควบคุมและการฉีดวัคซีนไปอีกระยะหนึ่งกว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย ซึ่งในส่วนของบริษัทได้มีแผนการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงไปอีก 2-3 ปีแล้ว
ด้านการขอสินเชื่อของลูกค้าในปัจจุบันยังพบว่าลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทส่วนใหญ่ยังมีความสามารถในการขอกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินในระดับที่ดี โดยที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับทรงตัวจากสิ้นปีก่อนที่ 25-28% เท่านั้น สะท้อนภาพบวกต่อความเสี่ยงในด้านการโอนโครงการที่จำกัด และทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อในระบบที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่สถาบันการเงินเริ่มระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก
สำหรับการโฟกัสในธุรกิจของบริษัทนั้นยังคงเน้นการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม รวใถึงการพัฒนาด้านงานบริการ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่บริษัทจะมุ่งเน้น เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในแบรนด์ของเอพีมากที่สุด ทำให้ลูกค้ายังคงเลือกใช้บริการและแนะนำแบรนด์ของ AP ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของบริษัทในการดำเนินธุรกิจ