นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีความต้องการขนส่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และ จีน ทำให้มีความต้องการสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ในบ้าน, กลุ่มสินค้าในครัวเรือน และ โซลาร์เซลล์ ส่งผลให้บริษัทมีงานขนส่งเพิ่มขึ้น ครอบคลุมในธุรกิจหลักทั้ง 4 ประเภท ทั้งงานบริการทางอากาศ (Air Freight), การขนส่งทางทะเล (Sea Freight), ขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service ) และบริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์
สำหรับธุรกิจบริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่น โดย บริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด (บริษัทย่อย) ผู้ให้บริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจร ทั้งงานคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่งสินค้า (Equipment) ขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่ดีสอดรับกับธุรกิจขนส่งในประเทศที่มีการขยายตัวของปริมาณงานการบริหารจัดการคลังสินค้า และการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงเตรียมเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ ถนนบางนา-ตราด กม. 18 เพื่อรองรับการขยายงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต ทั้งรูปแบบบริษัท กลุ่มลูกค้าธุรกิจการค้าปลีก (Retail) และกลุ่มลูกค้า E-Commerce โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3/64 และจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง 64
ส่วนธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Services) ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (ETL) ขณะนี้ดำเนินการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งข้ามพรมแดนที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการเป็นบริการขนส่งทางเลือกให้กับลูกค้าทดแทนการขนส่งทางเรือ และ ทางอากาศ
อีกทั้งบริษัทวางแผนสร้างการเติบโตจากปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้น (Inorganic Growth) โดยมีแผนเจรจาพันธมิตร กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เพื่อขยายศักยภาพการบริหารงาน ขยายเส้นทางการขนส่ง และเพิ่มโอกาสในการรับงานมากขึ้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3/64
นอกจากนี้บริษัทได้รับมอบตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการลงทุนสั่งซื้อเพิ่มครบถ้วนจำนวน 200 ตู้ โดยมีเที่ยวรถขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1,200 เที่ยวต่อเดือน และมีแผนขยายตลาดในกลุ่มการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Services) โดยเปลี่ยนการขนส่งตู้สินค้าจากทางรถยนต์เป็นรถไฟ จากประเทศจีนถึงประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและกลุ่มยุโรป ตามเส้นทางในโครงการ One Belt One Road อีกทั้งบริษัทได้เพิ่มการให้บริการขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้ (LTL) เพื่อสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีปริมาณของไม่มากซึ่งได้ขนส่งใน 5 เส้นทางหลักครอบคลุมพื้นที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และ จีน คาดว่าธุรกิจการขนส่งข้ามแดนจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่การขนส่งทางเรือ และ ทางอากาศ บริษัทได้รับอานิสงส์จากประเทศจีนเริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตกลับมาในประเทศไทย ขณะเดียวกันปัจจัยเรื่องค่าระวางเรือและทางอากาศที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับสูงจากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลง อีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าจะช่วยผลักดันราคาการให้บริการสูงขึ้น คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อเนื่องและส่งผลดีกับบริษัทไปถึงสิ้นปี "ครึ่งปีหลังถือว่าเป็นไฮซีซั่นในการขนส่งสินค้า เห็นได้จากภาพรวมการส่งออกของประเทศที่ดีขึ้น อีกทั้งปัจจัยค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทมีการเดินหน้าขยายธุรกิจและเพิ่มบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประโยชน์ให้ลูกค้าในการเลือกใช้บริการที่ครบวงจร มั่นใจว่ารายได้รวมทั้งปีจะเติบโตตามเป้าหมายที่ 20% หรืออยู่ที่ 4,800 ล้านบาท" นายชูเดช กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานบริการทางอากาศ (Air Freight) 33%, การขนส่งทางทะเล (Sea Freight) 31%, ขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service ) 29% , และงาน Logistics 7%