นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ในปี 64 เป็นเติบโต 15-20% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตราว 10-15% ตามแนวโน้มออเดอร์จากลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศสั่งซื้อสินค้าเข้ามาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน จากโครงการลงทุนเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้ามีออกมาเป็นจำนวนมาก และในต่างประเทศให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทนและรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จึงส่งผลบวกต่อธุรกิจจำหน่ายสายไฟฟ้าและเคเบิ้ลไฟฟ้าของบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ และยังอยู่ระหว่างรอติตดามประมูลงานที่บริษัทสนใจเข้าร่วมทั้งในและต่างประเทศรวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9 พันล้านบาท คาดหวังได้งานราว 30% ทำให้ Backlog มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกในครึ่งปีหลัง และรองรับรายได้ในระยะต่อไป
สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบันบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องการผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิ้ลไฟฟ้าที่ยังมีการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง และส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด ขณะที่บริษัทมีมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวด ทำให้ไม่พบพนักงานในโรงงานติดเชื้อโควิด-19 จึงไม่ได้ส่งผลต่อกระบวนการผลิต อีกทั้งธุรกิจของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพทื้นฐานต่างๆที่หลายๆประเทศมีการผลักดันออกมา จึงได้รับอานิสงส์เชิงบวกไปด้วย
แนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/64 ยังมีทิศทางการเติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/64 จากการที่ลูกค้ายังสั่งออเดอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้โรงงานในไทยและเวียดนามต้องเร่งการผลิตสินค้าออกมาให้ทันกับความต้องการ รวมถึงการผลิตเพื่อสต็อกสินค้าไว้รองรับบางออเดอร์ที่อาจเข้ามากระทันหัน เพื่อทำให้บริษัทไม่เสียโอกาสในการขาย อีกทั้งสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่กระทบต่อการผลิต ทำให้รายได้เข้ามายังต่อเนื่องและมีทิศทางเพิ่มขึ้น
"อย่างที่เคยบอกว่าผลงานเรามาตามนัดและดีกว่าที่เราคาดไว้ หลังจากไตรมาสแรกที่ออกมาก็เติบโตดีมาก และไตรมาส 2 นี้ก็จะดีกว่าไตรมาสแรก เพราะออเดอร์เข้ามาถือว่าล้นมือ แต่เรามีสต็อกสินค้าไว้ เพื่อให้เราไม่เสียโอกาสในการขาย และธุรกิจเราเป็นธุรกิจในกลุ่มพลังงานที่ Stable และได้อานิสงส์จากการ Growth ของการลงทุน Infrastucture ที่มากขึ้นในปัจจุบัน และโควิดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ผลกระทบ เพราะที่ผ่านมาเรามีมาตรการในโรงงานที่เข้มงวด โรงงานเราไม่ได้หยุดผลิตเลย ทำให้เราส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด ซึ่งทั้งหมดก็น่าจะสะท้อนภาพให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสในหุ้นของ STARK"นายชนินทร์ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังมองหาโอกาสการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโครงการใหม่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจหลัก โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิ้ลไฟฟ้าในเวียดนามแล้ว 1 แห่ง ซึ่งการศึกษาโครงการลงทุนใหม่ดังกล่าวได้แจ้งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทให้รับทราบแล้วคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนในช่วงปลายปีนี้
"ยังศึกษาโครงการใหม่นี้ในเวียดนามอยู่ ซึ่งจะเข้ามาต่อยอดธุรกิจ หลังจากเรามองเห็นโอกาสของการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งทุกวันนี้ก็มีผู้เประกอบการหลายๆรายเข้ามาปักฐานการลงทุนในเวียดนาม เราเองก็มีโรงงานผลิตในเวียดนามที่เราทุนไปแล้ว ก็ศึกษาโครงการใหม่นี้ไว้ และบอร์ดบริษัทก็ทราบแล้ว ปลายปีนี้ไม่แน่อาจจะได้ข้อสรุป ก็ 50:50 อยู่"นายชนินทร์ กล่าว