นายสุเรศพล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 3 ปี (64-66 ) เติบโตไม่ต่ำกว่า 30-40% ต่อปี หลังจากที่บริษัทเข้าไปทำการตลาดในสหรัฐตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค เนื่องจากรสชาติของข้าวโพดไทยมีเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง ส่งผลให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) ใหม่จากวอลมาร์ท (Walmart) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่สูงถึง 4,400 ตู้คอนเทนเนอร์/ปี เบื้องต้นบริษัทได้ส่งสินค้าดังกล่าวไปแล้ว 1,400 ตู้คอนเทนเนอร์/ปีตามกำลังผลิตในปัจจุบัน
บริษัทจึงมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในการผลิตข้าวโพดหวานแปรรูปในรูปแบบกระป๋องขนาด 15 ออนซ์ภายใต้งบลงทุน 50 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/64 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์/ปี ทำให้ในอนาคตจะมีศักยภาพรองรับได้สูงถึง 4,000 ตู้คอนเทนเนอร์/ปี
ทั้งนี้ บริษัทยอมรับว่าหลังจากสามารถเจาะตลาดวอลมาร์ทได้ ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสรับเลือกเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ประกอบการส่งออกข้าวโพดหวานแปรรูป อาทิ ข้าวโพดหวานเมล็ดบรรจุกระป๋อง ข้าวโพดหวานครีมบรรจุกระป๋อง ข้าวโพดหวานบรรจุถุงสุญญากาศ ข้าวโพดฝักอ่อนบรรจุกระป๋อง เพื่อจำหน่ายเพิ่มเติมในวอลมาร์ทที่มีสาขากระจายอยู่หลายประเทศทั่วโลกในอนาคตอีกด้วย ขณะเดียวกันบริษัทฯยังส่งออเดอร์ให้กลุ่มลูกค้ารายอื่นๆในสหรัฐฯอีกกว่า 400-500 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปีเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีลูกค้ากลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ที่ยังคงมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นจากยอดออเดอร์ในปีนี้ ที่มีเข้ามาแล้วกว่า 500 ตู้คอนเทนเนอร์ จากปีก่อนที่ส่งออกไป EU เพียง 40-50 ตู้คอนเทนเนอร์เท่านั้น
"หลังจากบริษัทชนะคดีการเก็บภาษีทุ่มตลาดส่งผลให้บริษัทเสียภาษีนำเข้าสินค้าไปจำหน่ายในยุโรปลดลงเหลือ 3 % จากเดิมที่ 13% ซึ่งปัจจุบันบริษัทอื่นๆ ในประเทศไทยยังคงต้องเสียภาษีนำเข้า 13% นั่นหมายความว่าประสิทธิภาพในการแข่งขันของบริษัทสูงขึ้นในการส่งออกตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีการบริโภคข้าวโพดสูง" นายสุเรศพล กล่าว
นายสุเรศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์โครงสร้างทางธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องระยะสัญญาในการซื้อขายและส่งมอบ บริษัทฯได้มีการปรับระยะเวลาการทำสัญญากับลูกค้าเป็นระยะเวลา 6-12 เดือน จากเดิมที่เป็นสัญญาระยะยาว 2-3 ปี ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการปรับราคาสินค้าตามต้นทุน รวมถึงจัดเป็นการช่วยบริหารต้นทุนการขนส่ง และยังเป็นการป้องกันความผันผวนจากค่าเงิน
สำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทจะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงิน ในแต่ระยะเวลาที่แตกต่างกัน ให้มีความเหมาะสมที่กรอบ 30%, 50% และ 80% เพื่อที่จะไม่มีผลกระทบจากค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงไป ด้านราคากระป๋องจะทำคำสั่งซื้อกระป๋องล่วงหน้าทันที 100% ของคำสั่งซื้อที่เข้ามา และวัตถุดิบข้าวโพด บริษัทใช้การตกลงกับเกษตรกรในเครือของบริษัท (คอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง) เพื่อให้มีความแน่นอน 100% เช่นกัน บริษัทจึงสามารถบริหารจัดการให้สามารถทำกำไรที่ดีต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ บริษัทคาดจะมีข่าวดีกรณีการเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่ ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าหากดีลดังกล่าวแล้วเสร็จจะสามารถเริ่มทยอยส่งออเดอร์ได้ในปี 65 เป็นต้นไป ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายกำลังการผลิตข้าวโพดกระป๋องขนาด 108 ออนซ์ อีก 1,300-1,500 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต1,300-1,500 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี ทำให้ในอนาคตบริษัทจะมีไลน์ผลิตขนาด 108 ออนซ์อยู่ที่ 2,600-3,000 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี เนื่องจากดีมานด์ในขนาดดังกล่าวยังมีความต้องการสูงสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ (B2B)
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายโดยรวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากดีมานด์การสั่งซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ประกอบกับการผลิตของบริษัทฯสามารถผลิตได้ทุกขนาดตามความต้องการของตลาด อาทิ ขนาด 8 ออนซ์ ขนาด12 ออนซ์ ขนาด 15 ออนซ์ ขนาด 75 ออนซ์ และ ขนาด 108 ออนซ์ จากปัจจัยดังกล่าวเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าทั่วโลก