นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วี เปิดเผยว่า บลจ.วี เปิดเสนอขาย IPO กองทุนเปิด วี ยุโรป ออพพอร์ทูนิตี้ (WE-EUROPE) ระหว่างวันที่ 27 ก.ค.-5 ส.ค.64 กองทุนมีระดับความเสี่ยงระดับ 6 ความเสี่ยงสูง ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปยุคใหม่ เน้นลงทุนในธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในทุกภาวะตลาด ผ่านกองทุน Berenberg European Focus Fund ในสัดส่วน 70% และเน้นลงทุนเชิงรุกหุ้นขนาดเล็กที่อยู่กลุ่มอุตสาหกรรมเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (European Economic Area : EEA) และสหราชอาณาจักร ผ่านกองทุน Janus Henderson Pan European Smaller Companiess ในสัดส่วน 30%
ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนเช่น
1.)Teleperformance (France) ผู้ให้บริการและพัฒนาแบรนด์ ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
2.) Netcompany (Denmark) ผู้ให้บริการด้านไอทีผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและบริการโครงสร้างพื้นฐาน
3.) HelloFresh (Germany) ผู้ให้บริการจัดหาอาหารโฮมเมดที่ดีต่อสุขภาพให้ทุกครัวเรือน
4.) ASML Holding NV (Netherland) ผู้นำด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
5.) KERING SA (France) บริษัทที่เชี่ยวชาญสินค้าฟุ่มเฟือย แบรนด์ดังอย่าง Gucci, Yves Saint Laurent และ Bottega Veneta
ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ลงทุนเชิงรุกที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตมีผลประกอบการดีและมีราคาที่น่าสนใจ ทำให้กองทุนหลัก Berenberg European Focus Fund ณ วันที่ 31 พ.ค. 2564 ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 13.60% ย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 2.10% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 46.12% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 68.17% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 77.74% เทียบกับดัชนี MSCI Europe EUR อยู่ที่ 13.08% , 2.56% , 29.67.% , 22.14%, และ 23.75% ต่อปี ตามลำดับ (แสดงผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงไม่ปรับเป็นอัตราต่อปี)
เช่นเดียวกับ กองทุน Janus Henderson Pan European Smaller Companies ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ในกลุ่ม EEA และสหราชอาณาจักร ทำให้ ณ วันที่ 31 พ.ค. 2564 ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 2.9% ย้อนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 22.1% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ 70.4% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 13.4% ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 14.5 ย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 12.7% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 12.2% เทียบกับดัชนี EXIX Smaller European Companies อยู่ที่ 2.3% , 16.0% , 48.0% , 10.2% , 10.7% , 10.5% และ 10.1% ต่อปี ตามลำดับ
"ภูมิภาคยุโรปที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกกำลังฟื้นตัวส่งผลให้หุ้นหลายกลุ่มได้รับประโยชน์เช่นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค อีกทั้งความสามารถในการกระจายฉีดวัคซีนที่รวดเร็ว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังดำเนินอยู่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจจากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจและระดับราคาที่ไม่แพง กองทุนเปิด WE-EUROPE จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในต่างประเทศที่มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว"นายอิศรา กล่าว
นายอิศรา กล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซน นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ปัจจุบันแม้ว่าจะเจอการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา แต่ด้วยประสิทธิภาพและการกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชากรอย่างต่อเนื่องส่งผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจของยุโรปฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยดัชนียอดคำสั่งซื้อผู้จัดการ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการได้มีการปรับตัวขึ้นมาส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในภาคธุรกิจของยุโรปและในประเทศสหราชอาณาจักร แม้ว่าจะยังมีปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิต (Supply chain bottleneck)และทำให้มีการส่งมอบสินค้าล่าช้าก็ตาม
นอกจากนี้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนโดยเฉพาะการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะขยายตัวได้ดีหลังจากนี้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆทำให้รายได้ของประชาชนได้รับผลกระทบไม่มากนัก เป็นปัจจัยสนับสนุนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปในระยะถัดไป
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะปรับตัวดีขึ้น คาดการณ์การเติบโต GDP ในปี 64 อยู่ที่ 4.7% และในปี 65 ประมาณการอยู่ที่ 4.9% ในขณะที่ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.9% และอ่อนตัวลงในปี 65 ขณะที่ยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายด้านการเงินและการคลัง โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงการเข้าซื้อสินทรัพย์ในโครงการ Asset Purchase Program (APP) และมีการเข้าซื้อพันธบัตรในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ทำให้สภาพคล่องต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดยังคงมีเพียงพอ
นอกจากนี้ยุโรปยังเริ่มการปฏิรูปสหภาพยุโรปให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต โดยมีมาตรการ Next Generation EU (NGEU) ที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป เพื่อทำให้กลุ่มยูโรโซนหลัง โควิด-19 มีรูปแบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greener) , รวมถึงใช้ระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น (More digital) และมีความยืดหยุนในการดำเนินเศรษฐกิจมากขึ้น (More Resilient Europe)
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกในยูโรโซนจะได้รับเงินสนับสนุนจากมาตรการ Next Generation EU รวมกันประมาณ 7.5 แสนล้านยูโร ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/64 ซึ่งจะทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจยูโรโซนในระยะจากนี้จะมีการลงทุนเพื่อเปลี่ยนไปสู่การใช้นวัตกรรมทางดิจิทัลและเทคโนโลยีมากขึ้น (Digital Transformation) เช่น การผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ,การลงทุนในเทคโนโลยีภาคบริการเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่เปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรองรับการลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (European Green Deal) การสร้างอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการผลิตที่ลดการใช้พลังงานและทรัพยากร (Clean Technology) ในด้าน Valuation ดัชนี Stoxx Europe 600 Forward Price to Earnings ratio (PE) 2021 อยู่ที่ระดับ 17.9 ในขณะที่ดัชนี S&P 500 อยู่ที่ระดับ 22.5 ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปจึงมีความน่าสนใจ เห็นได้จากดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้นและมีระดับราคา (Valuation) ที่ยังถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นยุโรปในกลุ่มขนาดเล็กที่มีผลประกอบการดีกว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่