นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บมจ.เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของจังหวัดฉะเทริงเทราที่กำหนดให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดฉะเทริงเทราห้ามให้แรงงานเดินทางไป-กลับในพื้นที่สีแดงเข้ม และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 อื่นๆที่ออกมาล่าสุด มองว่ากระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทบ้างในเรื่องการเข้าออกของพนักงานที่จะต้องเดินทางไปมายังจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มอื่นๆ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการที่โรงงานต่างๆจะต้องหยุดผลิต หรือการขนส่งสินค้าต่างๆ
โดยทางบริษัทและโรงงานต่างๆได้มีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งแรกในปีก่อน ทำให้การผลิตและซัพพลายเชนต่างๆไม่ได้รับผลกระทบ และพนักงานที่ทำงานในโรงงานส่วนใหญ่พักอาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดฉะเทริงเทรา 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 และนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2
อย่างไรก็ตามมองว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท ซึ่งทำให้ลูกค้าที่จะเข้ามาสำรวจที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และการลงทุนก่อสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่อาจจะต้องเลื่อนออกไปจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดในช่วงนี้ แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลายลงกิจกรรมต่างๆก็จะกลับมาเดินหน้าได้ ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทคาดหวังขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 ที่เหลืออยู่อีกราว 500-600 ไร่ได้ทั้งหมด และยังมั่นใจรายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่ 4 พันล้านบาท จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และรายได้จากการโอนโครงการ Artisan รัชดา เข้ามาอีก 2 พันล้านบาท
ส่วนการลงทุนในธุรกิจกัญชงและกัญชาของบริษัท ในช่วงไตรมาส 4/64 คาดว่าจะเริ่มปลูกกัญชาได้ หลังจากที่ปัจุบันอยู่ระหว่างปรับสภาพหน้าดินในพื้นที่ตั้งในจังหวัดนครพนม เพื่อการก่อสร้างโรงสกัดน้ำมันและสารที่ได้รับจากกัญชาและกัญชง โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ อีกทั้งบริษัทยังวางแผนการต่อยอดธุรกิจไปสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ ในการลงทุนโครงการศูนย์บำบัดพักฟื้นเพื่อสร้างสุขภาพ (Wellness Clinic) รองรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการการพักผ่อน ที่จะเข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติมในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ