บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก ความแข็งแกร่งของเครื่องหมายการค้าปลาทูน่ากระป๋อง “Chicken of the Sea" และผลงานของคณะผู้บริหารที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเล นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงนโยบายในการขยายกิจการที่รอบคอบของบริษัท รวมทั้งการมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความอิ่มตัวของอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องในประเทศสหรัฐอเมริกา ความผันผวนที่ค่อนข้างสูงของราคาปลาทูน่า และการแข่งขันของผู้ประกอบการจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า รวมทั้งมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้ารายสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและความมีประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งจากการขยายธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และลดภาระหนี้ได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็งรายใหญ่ของประเทศไทย โดยมียอดขายในปี 2549 อยู่ที่ 55,039 ล้านบาท บริษัทมีสินค้าที่หลากหลายซึ่งประกอบด้วยปลาทูน่ากระป๋อง กุ้งแช่แข็ง และอาหารทะเลอื่นๆ รวมทั้งอาหารแมว และอาหารกุ้ง โดยรายได้หลักในปี 2549 มาจากปลาทูน่ากระป๋องซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 47% ของยอดขายทั้งหมด ตามด้วยกุ้งแช่แข็ง 20% อาหารสัตว์กระป๋อง 9% รวมทั้งอาหารทะเลกระป๋องและอาหารกุ้งซึ่งมีสัดส่วนประเภทละ 7% ตลาดส่งออกหลักของบริษัทประกอบด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา (57%) ญี่ปุ่น (10%) และสหภาพยุโรป (10%)
คณะผู้บริหารของบริษัทเป็นผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลมานานกว่า 10 ปี บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าปลาทูน่ากระป๋อง “Chicken of the Sea" ซึ่งเป็นปลาทูน่ากระป๋องอันดับ 3 ในประเทศสหรัฐฯ การซื้อลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเต็ม 100% ในปี 2544 ช่วยเสริมให้ฐานะบริษัทเข้มแข็งขึ้นและส่งผลให้รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว ความแข็งแกร่งในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวยังส่งผลให้บริษัทสร้างฐานลูกค้าเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งปลาทูน่าคุณภาพสูงและสินค้าอาหารทะเลมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product) ในปี 2549 บริษัทมีกำลังการผลิตปลาทูน่ากระป๋องอยู่ที่ 280,000 ตันต่อปี ทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้แปรรูปปลาทูน่าชั้นนำระดับสากล ซึ่งช่วยให้บริษัทได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ทั้งในด้านการจัดซื้อวัตถุดิบและการผลิต
นอกจากนี้ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทยังเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมต่อเนื่องและครบวงจร ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของบริษัทได้รับผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจสู่งานด้านบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัทจะเติบโตอย่างค่อนข้างมั่นคง แต่ปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ และมาตรการทางการค้าของประเทศคู่ค้ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อผลประกอบการของบริษัท
บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ยังคงรักษาไว้ซึ่งนโยบายการเงินที่ระมัดระวังและมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สัดส่วนรายได้ต่อยอดขายและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทยังคงอยู่ในระดับคงที่สม่ำเสมอ แม้ภายใต้สถานการณ์ที่ราคาสินค้ามีความผันผวน ความสามารถดังกล่าวสืบเนื่องมาจากความหลากหลายในธุรกิจของบริษัท ความแข็งแกร่งของเครื่องหมายการค้า และประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 32%-35% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 6-14 เท่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับประมาณ 6% ภาระหนี้ของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการลงทุนในกองเรือจับปลาทูน่าเป็นจำนวนเงิน 1,400 ล้านบาท ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้น และราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์ได้ส่งผลกดดันต่อกำไรของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงได้รับความกดดันจากปัจจัยเหล่านี้ไปอีกในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งกล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--