นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 จะปรับตัวลดลงราว 10% บวก/ลบ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 3/63 ถือเป็นไตรมาสแรกที่เริ่มฟื้นตัวหลังการล็อกดาวน์รอบแรก ขณะที่ในไตรมาส 3 ปีนี้กลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งหลังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้น โดยมียอดผู้ติดเชื้อฯ รายวันทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/64 ก็คาดว่าจะยังไม่เห็นการเติบโตเช่นกัน โดยในไตรมาสก่อนบริษัทมีรายได้จากการขาย 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร อยู่ที่ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 328% เนื่องจากบริษัทยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
"มองไตรมาส 3/64 ไม่น่าจะเติบโตเท่าไตรมาส 2/64 และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 3/63 ถือเป็นช่วงที่ดี จากการฟื้นตัวหลังล็อกดาวน์ แต่ปีนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่มีการระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างมาก ทำให้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2/64 รัฐบาลก็มีการล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้าง และส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ไตรมาสนี้ยังคาดหวังการเติบโตได้ยาก โดยประเมินว่าจะกระทบต่อผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 10% บวกลบ" นายนำพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานทั้งปี 64 บริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้จากการขาย หรือยอดขายจะเติบโตดีกว่าปีก่อน ที่ทำได้ 9,951 ล้านบาท แม้ภาพรวมตลาดในครึ่งปีหลังนี้จะยังมีความผันผวนจากสถานการณ์โควิด-19 และตลาดต่างประเทศที่จะยังซบเซาต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งลาวและกัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมา แต่ด้วยผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสามารถทำกำไรได้ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เป็นผลมาจากตลาดโดยรวมมีการเติบโต 10% และบริษัทฯ สามารถทำยอดขายเติบโตได้ดีกว่าตลาด ประกอบกับบริษัทฯ คาดหวังว่าหากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายได้เร็วและดึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาได้ไว ก็จะส่งผลทำให้ไตรมาส 4/64 สามารถกลับมาเติบโตได้ หรือทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะช่วยให้ภาพทั้งปีของบริษัทฯ ยังเป็นบวกได้
นอกจากนี้แม้ราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่บริษัทฯ ยังคงดำเนินการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกันยังบริหารสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการให้สอดคล้องกัน เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ออกสินค้า "กระเบื้องฟอกอากาศ" หรือ AIR ION (แอร์ ไอออน) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเมื่อติดตั้งกระเบื้อง AIR ION 40% ของพื้นที่บนพื้น หรือผนังของห้อง จะสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89% โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
นายนำพล กล่าวว่า ในส่วนของแบรนด์ "SUSUNN" ที่ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท บริษัทได้เปิดตัวแบรนด์ SUSUNN อย่างจริงจัง โดยลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บมจ.ปตท. ในส่วนของโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน และ บมจ.โอสถสภา เรื่องเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน (Energy Saving) ทั้ง Solar Business ด้าน Energy Audit และโครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิตผ่านคนกลางบน SUSUNN Platform
ล่าสุด ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของ เอสซีจี เซรามิกส์ ด้วย เบื้องต้นคาดจะยังสามารถสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 5% ของรายได้รวม