นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) เปิดเผยว่า ตามที่ทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงแรกของปี 2564 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจะเห็นได้จากผลกำไรในไตรมาส 1/64 มีผลกำไรกว่า 225 ล้านบาท และคาดว่าในครึ่งแรกของปี 2564 นี้ บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเกิดจากผลกำไรจากการลงทุนของบริษัทเอง และผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่มีผลประกอบการดีขึ้นกว่าปีก่อนมาก
CEN บริษัทเป็น Holding Company ซึ่งถือหุ้นในบริษัทย่อย (STOWER) ที่ดำเนินธุรกิจด้านไฟฟ้าและเทเลคอม ซี่งได้ปรับโครงสร้างครั้งสำคัญในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจากการตัดภาระขาดทุนในบริษัทย่อยออกทั้งหมด และได้ขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจด้านเทเลคอมในประเทศฟิลิปปินส์ และได้เริ่มดำเนินธุรกิจด้านสถานีโทรคมนาคม ซึ่งจะมีสัญญาเช่าถึ 25 ปีกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสร้างรายได้เป็นค่าเช่าอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้
นอกจากนี้ CEN ยังมีธุรกิจลวดเหล็กแรงดึงสูง (RWI) ซึ่งใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ได้รับผลดีจากราคาเหล็กในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ความต้องการจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น และปริมาณซัพพลายที่จำกัด รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรจากทั้งยอดขายและอัตราการทำกำไรที่มากขึ้นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นมา
ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า CEN ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 2 โรง กำลังการผลิตรวม 11 เมกกะวัตต์ ที่ขายไฟฟ้าและลมร้อนให้กับบริษัทในกลุ่มปูนซิเมนต์ไทยในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้มีราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ CEN ยังได้เตรียมงบการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้มากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแปรรูปกัญชงและกัญชาที่ยังมีโอกาสอยู่มาก นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศซึ่งเป็นโอกาสสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้เพิ่มเติมจากธุรกิจที่มีอยู่
โดยบริษัทมีการวางแผนด้านเงินลงทุนและยังมีใบสำคัญแสดงสิทธิ CEN-W5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนด้านการเงินเพื่อการลงทุนในภาพรวม 5 ปีจากนี้ นอกจากนี้บริษัทยังได้รับความสนใจจากกองทุนในต่างประเทศหลายราย เนื่องจากทรัพย์สินรวมของกลุ่มบริษัทมีมูลค่าสูง รวมทั้งอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 5 เท่า และยังสนใจในแผนการลงทุนของบริษัทอีกด้วย