ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 พันลบ. WHART ที่ A แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 30, 2021 12:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปีของทรัสต์ฯ ที่ระดับ "A" ด้วยเช่นกัน โดยทรัสต์ฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้บางส่วน และ/หรือเพื่อการลงทุนในอนาคต และ/หรือเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่ทรัสต์ฯ มีกระแสรายรับที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและบริการตามสัญญา ตลอดจนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และภาระหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากการกระจุกตัวของรายได้ที่มาจากผู้เช่ารายใหญ่ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังคงยืดเยื้อซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันต่อความต้องการเช่าพื้นที่และการต่ออายุสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า

ผลการดำเนินงานของทรัสต์ฯ ในไตรมาสแรกของปี 2564 เป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง รายได้จากการดำเนินงานของทรัสต์ฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 666 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มสินทรัพย์ที่มีอัตราการให้เช่าสูง อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ณ เดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 89%

ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะคงภาระหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับปานกลางไว้ได้ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ภายใต้นโยบายการเงิน ทรัสต์ฯ จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ (LTV) ไม่ให้เกิน 35% ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 28%-30% ในปี 2564-2565 ตามเงื่อนไขทางการเงินที่ระบุให้ทรัสต์ฯ จะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ให้ต่ำกว่า 35% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 5.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2564 ทรัสต์ฯ มีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 25% และ 4.6 เท่าตามลำดับ

ณ เดือนมิถุนายน 2564 ทรัสต์ฯ มีภาระหนี้คงค้างทั้งสิ้นจำนวน 1.02 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 8 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวน 2.16 พันล้านบาท โดยทรัสต์ฯ ตั้งใจจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระเงินกู้บางส่วน ทรัสต์ฯ มีภาระหนี้ที่จะต้องจ่ายชำระเป็นงวดจำนวน 1.95 พันล้านบาทในปี 2565 ตามด้วยจำนวน 1.5 พันล้านบาทในปี 2566 และจำนวน 4.55 พันล้านบาทในปีต่อ ๆ มา ทรัสต์ฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่และ/หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนหนี้ดังกล่าว ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าทรัสต์ฯ จะไม่มีปัญหาในการจ่ายคืนภาระหนี้ดังกล่าวจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าทรัสต์ฯ จะสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและสามารถรักษาระดับอัตราการให้เช่าที่สูงกว่า 90% โดยความสามารถในการทำกำไรจะอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่องได้ในช่วงปี 2564-2565 และคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อสินทรัพย์รวมจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 35% ตามนโยบายของทรัสต์ฯ รวมทั้งจะสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขทางการเงิน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของทรัสต์ฯ อาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราการเช่าลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญและ/หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สูงเกินกว่า 35% เป็นระยะเวลานาน ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากทรัสต์ฯ สามารถเพิ่มขนาดกระแสเงินสดได้อย่างมีนัยสำคัญ และโครงสร้างเงินทุนของทรัสต์ฯ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งจะนำไปสู่การมีกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ