บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์(KCE)ระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในแง่ของกำไรเนื่องจากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง(High-tech)มากขึ้น เพราะได้ราคาดีและมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายกำลังการผลิตอีก 1.5 แสนตารางฟุต/เดือน ซึ่งเริ่มจะมีผลปลายไตรมาส 3/50 และเตรียมปรับราคาขายสินค้าบางตัวในช่วงปลายไตรมาส 3/50 ทำให้มั่นใจว่าปีนี้ยอดขายคงเข้าเป้าที่ 250 ล้านดอลลาร์ เติบโตจากปีที่แล้วประมาณ 15-20% และโตต่อเนื่องไปถึงปี 51 ด้วย
*เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เป็น Multi Layer
นายปัญจะ เสนาดิสัย กรรมการ KCE กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทยังคงเป็นแผ่น PCB สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ และ High-End Consumer Electronic ซึ่งบริษัทมีลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ปัจจุบันลูกค้ามีจำนวนมากส่วนใหญ่จะเป็นญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา และมีกำลังผลิตไม่เพียงพอ ทำให้บริษัทต้องขยายกำลังการผลิตอีก 1.5 แสนตารางฟุต/เดือน คือ โรงงาน KCE I (ลาดกระบัง)
ส่วนที่ KCE Technology (นิคมฯไฮเทค อยุธยา) เบื้องต้นจะขยายเป็น 1.05 ล้านตร.ฟุต/เดือน จากเดิม 9 แสนตร.ฟุต/เดือน แต่ตอนนี้ปรับปรุงการผลิตในรูปแบบ Inner ให้สามารถผลิต PCB ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง(High-tech)มากขึ้นแทน โดยเป็นแผ่น PCB ที่เป็น Multi Layer ใช้ได้ถึง 4-6-8 ชั้น ขณะที่ Double Layer ใช้ได้ 2 ชั้น และมีราคาถูกกว่า
"ตอนนี้เราหันมาขาย PCB ที่เป็น Multi Layer มากขึ้นเพราะราคาดีกว่า และอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าสินค้าตัวอื่น" นายปัญจะ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะปรับราคาขายผลิตภัณฑ์บางตัวขึ้นอีกในปลายไตรมาส 3/50 ซึ่งเป็นการปรับประจำปี โดยที่ผ่านมาเมื่อปลายไตรมาส 3/49 เราขอลูกค้าปรับเป็นกรณีพิเศษเพราะต้นทุนสูงขึ้น แต่การปรับราคาครั้งใหม่เป็นไปตามกำหนดปกติ เนื่องจากครบสัญญาที่ทำไว้กับลูกค้าบางราย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการิจารณาอัตราที่จะปรับขึ้น
**มั่นใจปีนี้ยอดขายตามเป้า 250 ล้านดอลล์/คาดกำไร H2 ไม่ต่ำกว่า H1 ที่ 114.99 ลบ.
นายปัญจะ มั่นใจว่าปีนี้ยอดขายเข้าเป้าที่ 250 ล้านดอลลาร์ เติบโตประมาณ 15-20% จากปี 2549 ที่มีรายได้ 200 ล้านดอลลาร์ โดยในช่วงครึ่งปีหลังรายได้น่าจะดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก
สำหรับไตรมาส 3/50 รายได้น่าจะดึขึ้นจากไตรมาส 1/50 มียอดขายรวม 2,075 ล้านบาท และไตรมาส 2/50 มียอดขายรวม 2,022.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ส่วนไตรมาส 4/50 จะเป็น High season ของธุรกิจคือยอดขายจะสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ และน่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตดังกล่าวไปได้ต่อเนื่องในปี 51
จากที่มีโบรกเกอร์ประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ของ KCE น่าจะมีกำไรอยู่ที่ 59 ล้านบาทนั้น นายปัญจะ มองว่าน่าจะใกล้เคียง เพราะกำไรจะโตตามยอดขาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทด้วยแข็งค่ามากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าก็จะส่งผลดีต่อบริษัท แต่หากผันผวนก็จะทำให้ปรับตัวได้ลำบาก
"ผมจะบอกไม่ได้เรื่องกำไร แต่ไม่น่าจะต่ำกว่าไตรมาส 2/50 และบอกได้เพียงว่าครึ่งปีหลังกำไรสุทธิไม่ควรจะต่ำกว่าครึ่งปีแรก"นายปัญจะ กล่าว
ทั้งนี้ ไตรมาส 2 KCE มีกำไรสุทธิ 60.91 ล้านบาท และครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 114.99 ล้านบาท ซึ่งหากทั้งปีนี้มีกำไรก็เป็นไปได้สูงที่จะพิจารณาถึงการจ่ายเงินปันผล จากปีก่อนที่บริษัทไม่ได้สามารถจ่ายได้ ประกอบกับ ขณะนี้บริษัทไม่มีขาดทุนสะสมแล้ว
"เรามีกำไร 4 ไตรมาสติดต่อกันแน่ในปีนี้ ส่วนจะมีปันผลได้หรือยัง ตอนนี้ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้ แต่ปกติถ้าเราปันผลได้ก็จะพยายามปันผลให้ ซึ่งบริษัทไม่จำเป็นต้องมีกำไรทั้งปีก็ได้ถ้าจะปันผล แต่อยู่ที่ดุลยพินิจ คือ อย่ามีขาดทุนสะสมก็ปันผลได้แล้ว ตอนนี้เราไม่มีขาดทุนสะสมแล้ว ซึ่ง KCE ตั้งแต่ทำมาเคยขาดทุนปีเดียวคือปีที่แล้วที่ขาดทุนจากโอเปอเรชั่น" นายปัญจะ กล่าว
ในปีนี้คงยังไม่มีการลงทุนเพิ่มแม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อรออยู่อีกมาก ไว้ปีหน้าค่อยพิจารณากันใหม่ เพราะไม่ต้องการขยายงานเร็วเกินไป เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับภาระของบริษัท เพราะขณะนี้อัตราหนี้สินต่อทุนค่อนข้างสูงที่ประมาณ 2 เท่า
"ลูกค้าเราเยอะมาก เพียงแต่ร่างกายเรายังไม่แข็งแรงพอที่จะขยาย เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ตัวเองแข็งแรงก่อน เรื่องยอดขายไม่ต้องเป็นห่วงสำหรับบริษัทนี้"นายปัญจะ กล่าว
ส่วนราคาหุ้นที่ปรับขึ้นช่วงนี้ น่าจะเป็นเพราะราคาที่เทรดอยู่ในระดบ 4 บาทกว่า ๆ ยังต่ำกว่า BV
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--