นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนก.ค. 64 พบว่า ดัชนีฯในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 64.37 ปรับตัวลดลง 39.3% จากเกณฑ์ทรงตัวเดือนก่อนมาอยู่ในเกณฑ์ซบเซา โดยนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและนโยบายภาครัฐ
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบันที่รุนแรงขึ้น รองลงมาคือความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
ผลสำรวจโดยสรุปดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค.64) อยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ปรับตัวลดลง 39.3% จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 64.37
ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ "ซบเซา" หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบันที่รุนแรงขึ้น
ผลสำรวจ ณ เดือน ก.ค. 64 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 40.1% อยู่ที่ระดับ 65.79 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 40% อยู่ที่ระดับ 50.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวลดลง 55.5% อยู่ที่ระดับ 57.89 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลดลง 33.3% อยู่ระดับ 66.67
นายไพบูล กล่าว ในช่วงเดือน ก.ค.64 สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นมากรวมถึงความไม่ชัดเจนของการจัดหาและกระจายฉีดวัคซีน ป็นปัจจัยหลักที่กดดันต่อการเคลื่อนไหวของ SET index ตลอดทั้งเดือนและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของเดือน หลังจากมีการออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบให้กระแสเงินลงทุนของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศทยอยไหลออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 17,700 ล้านบาทในเดือนก.ค.
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนไทยยังได้แรงหนุนจากปัจจัยภายใน อาทิ การประกาศมาตรการเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม และมาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา วงเงินรวม 42,000 ล้านบาท จากรัฐบาล อีกทั้ง ปัจจัยภายนอก เช่น การประกาศคงดอกเบี้ยนโยบายของ FED และ ECB เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงที่ยังมีอยู่สูง
ทั้งนี้ SET index ณ สิ้นเดือน ก.ค. 64 ปิดที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลดลง 4.15% จากเดือนก่อนหน้า โดยคาดว่าในเดือนนี้จะมีการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ และผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงรุนแรง ในขณะที่การเปิดการท่องเที่ยวให้ต่างชาติเข้ามาตัวเลขผู้เข้ามาท่องเที่ยวยังไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถคลี่คลายได้ในช่วงไตรมาส 3/64 ไตรมาส 4/64 มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ และดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นไปที่ระดับ 1,600 จุด
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การประชุม Jackson Hole Symposium วันที่ 26-28 ส.ค. 64 ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจมีการส่งสัญญาณการทำ QE Tapering การควบคุมและการออกกฎระเบียบจากทางการจีนซึ่งกระทบต่อ sentiment ในการลงทุนหุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ความขัดแย้งในโอเปก ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของราคาน้ำมันโลก
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่อาจกระทบต่อการลงทุน ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนที่อาจจะถูกกระทบอย่างหนักจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น สภาวการณ์ของเศรษฐกิจไทยที่น่าจะฟื้นตัวได้ยากเนื่องจากแผนการเปิดประเทศเต็มรูปแบบภายในปีนี้ตามเป้าหมายรัฐบาลที่อาจจะไม่เป็นไปตามแผน ดังนั้น แนวทางการกระตุ้นการดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามซึ่งจะส่งผลต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ขณะที่ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนส.ค. 64 ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือน ส.ค.64
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 3 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 64 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนอาจเพิ่มขึ้นจากเนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวจากการกลับมาเปิดเมืองของประเทศต่างๆที่ได้ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรบางส่วนแล้วทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
ในขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามบางรายมีความเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจปรับตัวลดลงจากการที่รัฐบาลอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
นนางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนส.ค. 64 ดัชนีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 3 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ "ไม่เปลี่ยนแปลง" โดยดัชนีอยู่ในระดับเดียวกับครั้งที่แล้วจากการมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนอาจปรับตัวสูงขึ้น
ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนคาดว่าอัตราผลตอบแทนอาจปรับลดลงสะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปีน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 0.82% และ 1.66% ตามลำดับ ณวันที่ทำการสำรวจ (16 ก.ค. 64) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกรวมถึง เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
ขณะที่ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนส.ค.นี้อยู่ที่ระดับ 47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งที่แล้วและยังอยู่ในเกณฑ์ "ไม่เปลี่ยนแปลง" สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนส.ค. นี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงจากการระบาดของโควิด-19 และ ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจ SME และหนี้ครัวเรือน ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงลดลง