บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN)เดินกลยุทธ์เปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องเพื่อดันยอดรับรู้รายได้โตเฉลี่ยปีละ 20% ในช่วงปี 50-52 โดยจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 7 โครงการในปีนี้ มูลค่าโครงการรวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาท จากแผนเดิมกำหนดไว้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 7.7 พันล้านบาท
ปีนี้บริษัทมั่นใจยอดรับรู้รายได้จะอยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท จาก 5 พันล้านบาทในปีก่อน พร้อมกำไรสุทธิปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่มี 765 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 30%
"เรามีแผนจะเปิดโครงการใหม่ปีละ 5-6 โครงการ การเปิดโครงการใหม่แต่ละปี จะช่วยทำให้อัตราการเติบโตของยอดรับรู้รายได้ของยริษัทโตปีละประมาณ 20% นับจากปี 50 ซึ่งเป็นแผนงานที่เราจะเดินหน้าไปอีก 2-3 ปี ข้างหน้า" นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ ในปี 50 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 3 โครงการในช่วงครึ่งปีแรก รวมมูลค่าโครงการราว 5 พันล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการ รวมมูลค่า 4.65 พันล้านบาท รวมทั้งปีมีมูลค่ารวม 9.65 พันล้านบาท จะรับรู้รายได้ในช่วงปี 51-52
โครงการใหม่ที่เพิ่มเติมจากแผน คือ "ลุมพินีคอนโดทาวน์ รัตนธิเบศร์"มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาทจะเปิดขายในไตรมาส 4/50 จะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปี 52 เป็นอาคาร 8 ชั้น จำนวน 8 อาคาร ลักษณะโครงการคล้ายกับโครงการคอนโดทาวน์ บดินทรเดชา-รามคำแหงที่เปิดไปในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งมีมูลค่า 2.6 พันล้านบาท รับรู้รายได้ในปี 51 มีทั้งหมด 14 อาคารๆละ 8 ชั้น
"เราจับตลาด real demand เพราะฉะนั้นแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ชะลอตัว เราเชื่อว่าจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบกับเรามากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าของเราเป็นกลุ่ม B และ กลุ่ม C+ ซึ่งมีรายได้ 1.5-2 หมื่นต้นๆ ไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ที่ยังต้องการบ้าน" นายโอภาส กล่าว
สำหรับโครงการที่เปิดขายในครึ่งปีหลัง ได้แก่ "ลุมพินีวิลล์ ประชาชื่น-พงษ์เพชร"มูลค่าโครงการ 1.25 พันล้านบาท เปิดตัวเมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดี ,"ลุมพินีเพลส ปิ่นเกล้า 3" มูลค่า 1.4 พันล้านบาท, "ลุมพินีคอนโดทาวน์ รามคำแหง 26"มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการจะเปิดตัวใกล้เคียงกันในเดือนต.ค.-พ.ย.นี้ และ"ลุมพินีคอนโดทาวน์ รัตนาธิเบศร์"มูลค่า 1.2 พันล้านบาท
นายโอภาส อธิบายว่า LPN ขณะนี้มี 3 แบรนด์ในการทำตลาด ได้แก่ ลุมพินีเพลส ลุมพินีวิลล์ และลุมพินีคอนโดทาวน์ โดยลุมพินีเพลส เป็นแบรนด์ระดับบน ราคาประมาณยูนิตละ 1 ล้านบาทเศษขึ้นไป รองลงมาแบรนด์ ลุมพินีวิลล์ ซึ่งทั้งสองแบรนด์มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 30% ขณะที่แบรนด์ ลุมพินีคอนโดทาวน์ใช้กลยุทธ์ราคาไม่สูง ประมาณ 6 แสนบาท/ยูนิต แต่ให้อัตรากำไรขั้นต้นราว 28-30%
*คาดรายได้และกำไรสุทธิใน H2/50 สูงกว่า H1/50
นายโอภาส เชื่อว่า ปี 50 จะมียอดรับรู้รายได้ 6.3 พันล้านบาทตามเป้าหมาย คาดว่าครึ่งปีหลังจะรับรู้รายได้ประมาณ 3.3 พันล้านบาท สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดรับรู้รายได้ 3 พันล้านบาท โดยรายได้หลักในครึ่งปีหลังจะมาจาก"ลุมพินีเพลส พหลโยธิน-สะพานควาย"มูลค่าโครงการ 2.2 พันล้านบาท และ"ลุมพินีเพลส-ปิ่นเกล้า 2" มูลค่า 1.2 พันล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าสูงกว่าปีก่อนตามการเติบโตของบริษัท อนึ่ง ในช่วง 6 เดือนแรกปี 50 บริษัทมีกำไรสุทธิ 492.89 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่เปิดตัวไปแล้ว ได้แก่ โครงการ ลุมพินีเพลส รัชดา-ท่าพระ มียอดขาย 60% ซึ่งรับรู้ในต้นปีหน้า
"โครงการของแอลพีเอ็น จะใช้เวลาก่อสร้างและขายภายใน 1 -1.5 ปี ทำให้รับรู้รายได้เร็ว"นายโอภาส กล่าว
ทั้งนี้ โบรกเกอร์หลายแห่งให้คำแนะนำ"ซื้อ"หรือ"ทยอยลงทุน"หุ้น LPN โดยมีราคาเป้าหมาย 8.70-10.50 บาท เพราะเห็นว่าบริษัทคงสร้างยอดขายได้ต่อเนื่องและสินค้าของบริษัทก็เป็นที่ยอมรับของตลาด โดยเห็นได้จากการเปิดตัวโครงการ ลุมพินีวิลล์ ประชาชื่น-พงษ์เพชร ที่เปิดตัวไปแล้วได้มียอดจองแล้วกว่า 630 ยูนิต หรือคิดเป็น 66% ของจำนวนหน่วยที่ออกขาย
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--