หุ้น PK ราคาพุ่งแรง 13.67% มาอยู่ที่ 3.16 บาท เพิ่มขึ้น 0.38 บาท มูลค่าซื้อขาย 296.56 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.50 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.94 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 3.28 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.92 บาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นบมจ.พัฒน์กล (PK) ปรับตัวขึ้น คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน จากการคาดการณ์ว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/64 น่าจะออกมาดี จากที่เป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้เครื่องทำความเย็นเป็นที่ความต้องการ โดย PK เป็นบริษัทวิศวกรรมสร้างเครื่องจักรทำความเย็น ส่วนก่อนหน้านี้ก็มีการมองความเชื่อมโยงในการเก็บวัคซีน แต่เรื่องก็เงียบไปนาน
นอกจากนี้ โรงงานน้ำแข็งเจอการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้มีบางส่วนที่ซื้อเครื่องทำน้ำแข็งมาทำกินเอง ในทางเทคนิคเป็นขาจึ้น แต่คงจะยังผ่านแนวต้านสำคัญที่ 3.28 บาท ไปได้ยาก ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 2.90-3.00 บาท
อนึ่ง PK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 22.05 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 20.85 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท
นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PK เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า ราคาหุ้น PK ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากในวันนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มองว่าอาจจะมาจากที่นักลงทุนมองเห็นผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวขึ้นในปี 64 อย่างชัดเจน หลังจากได้รับมีแรงกดดันจากการขาดทุนในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้
แม้ว่าในช่วงต้นปี 63 บริษัทยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีต่อคำสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ทำความเย็น และเครื่องจักรที่ใช้ผลิตและปรรูปอาหารของบริษัทในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ชะลอไป แต่ในช่วงตั้งแต่ช่วงปลายปี 63 มาถึงต้นปี 64 เริ่มเห็นสัญญาณบวกของการกลับมาฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในประเทศ และในอาเซียนที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
ทั้งนี้ ออเดอร์สั่งผลิตเครื่องจักรทำน้ำแข็งและเครื่องจักรแปรรูปอาหารเข้ามาเพิ่มขึ้นมาก หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว มีการเปิดเมือง และการบริโภคต่างๆ กลับมา ส่งผลบวกต่อธุรกิจของลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่เกี่ยวข้องกับอาหาร และส่งผลบวกต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานของ PK กลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในหลายๆประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท แต่มองว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้น และไม่ส่งผลกระทบมากต่อการชะลอการสั่งซื้อของลูกค้ามากเท่ากับปีก่อน เพราะมองว่าภาคธุรกิจต่างๆ ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทำให้รับมือกับผลกระทบของสถานการณ์ได้อย่างดี และกลยุทธ์ของบริษัทในช่วงนี้ก็ยังเน้นไปที่การรับออเดอร์จากกลุ่มลูกค้าเดิมในประเทศหลักที่อยู่ในประเทศไทย และกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ผลกระทบแม้ว่าจะมีบ้างแต่น้อยกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 บริษัทยังคงมีการเดินหน้าเจรจากับลูกค้าในการหาออเดอร์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม ซึ่งคาดหวังจะรับออร์เดอร์งานใหม่จากลูกค้าเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทเพื่อการรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท เพื่อรองรับรายได้ในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นระดับรายได้ปกติของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับการควบคุมต้นทุนต่างๆของบริษัทเพื่อทำให้มีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนภาพรวมของผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 64 กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น
"ปีที่แล้วคงเป็นปีที่เราถือว่าเป็นฐานของบริษัท และเริ่มกลับมาเติบโตขึ้นในปีนี้ หลังจากต้นปีสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น มีวัคซีนเข้ามา เริ่มเปิดเมือง ทำให้ลูกค้าเราเริ่มกลับมาสั่งออเดอร์มากขึ้น แม้ว่าตอนนี้โควิดจะกลับมาระบาดอีกรอบ แต่มองว่าหลายๆ ธุรกิจก็มีความพร้อมในการรับมือ ออเดอร์งานเครื่องจักรน้ำแข็ง ผลิตอาหารและนมของเราก็ยังมีออเดอร์จากลูกค้าเข้ามามากขึ้น รวมถึงที่ผ่านมาเรามีการปรับโครงสร้างต่างๆภายใน ปรับปรุงการผลิต และควบคุต้นทุนต่างๆ ซึ่งก็เริ่มเห็นผลต่อภาพรวมของธุรกิจที่ชัดเจนตั้งแต่ปีนี้"นายแสงชัย กล่าว