นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนการขยายคลังเซรามิกเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มีจำนวนเพิ่มมาอยู่ที่ 54 สาขา จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 40 สาขา
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าขยายคลังเซรามิกได้ค่อนข้างมากถึง 14 สาขา และคลังที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ถึง 20% ทำให้บริษัทจะยังคงเดินหน้าเพิ่มคลังอย่างต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ระหว่างรอติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศในระยะนี้ให้ชัดเจน เบื้องต้นวางงบลงทุนขยายคลังในช่วงครึ่งปีหลัง 200-400 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะขยายได้ครบ 100 สาขาภายในปี 66
นายนพล กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจค่อนข้างมาก จากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยการก่อสร้างโครงการต่างๆ หยุดชะงักจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหยุดชั่วคราวตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 64 อีกทั้งตลาดปรับปรุงและซ่อมแซมที่พักอาศัยและอาคารก็ได้ชะลอตัวลงตามไปด้วย ทำให้ผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/64 ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าหากสถานการณ์ไม่ลากยาวไปจนถึงไตรมาส 4/64 ก็คาดว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานในปีนี้คงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยยอดขายของบริษัททั้งปียังน่าจะเติบโตขึ้นได้จากปีก่อนที่มียอดขาย 9.95 พันล้านบาท แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้น อาจจะทำให้ยอดขายในปีนี้ชะลอลงเหลือแค่ทรงตัวหรือเติบโตจากปีก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากบริษัทยังมีสัดส่วนยอดขายในประเทศเป็นหลัก 82% และยอดขายจากต่างประเทศ 18% โดยครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้แล้ว 5.01 พันล้านบาท
หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4/64 บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดีอีกครั้ง โดยที่มีปัจจัยหนุนจากการกลับมาก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมถึงตลาดปรับปรุงและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนภาคเกษตรที่ในปีนี้ได้รับผลบวกจากราคาสินค้าเกษตรดี และไม่มีผลกระทบจากภัยแล้ง จึงน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักที่จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ส่วนของแบรนด์ SUSUNN ที่เป็นธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นไปที่โซลาร์ รูฟท้อป หลังจากที่บริษัทได้เซ็นสัญญา MOU กับบริษัทชั้นนำในไทย เช่น บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.โอสภสภา (OSP) และองค์การบริการก๊สซเรือนกระจก เพื่อออกแบบ ติดตั้ง และบริหารระบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการของลูกค้าแล้วนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการ ซึ่งยังติดขัดอุปสรรคของมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ยังไม่สามารถเริ่มทำงานได้
หากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 1-2 เดือนนี้คลี่คลายลง จะเริ่มเข้าไปทำงานในโครงการของลูกค้าที่เซ็นสัญญาไว้ และสามารถส่งมอบได้ในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทได้ราว 5% แต่หากยังไม่คลี่คลายก็อาจจะต้องเลื่อนการรับรู้รายได้ไปในช่วงต้นปี 65 แทน แต่บริษัทยังคงเดินหน้าในการเสนองานกับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆต่อเนื่อง และธุรกิจดังกล่าวจะเป็นธุรกิจที่เข้ามาต่อยอดการเติบโตให้กับบริษัท