นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดซึมลง หลังนักลงทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิกว่า 5 พันล้านบาทกดดันเป็นผลจากเงินบาทอ่อนมาที่ 33.2 บาท/ดอลลาร์อ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือนจากความกังวลเศรษฐกิจไทยชะลอกว่าประเมินไว้ อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ดีขึ้น โดยยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังทำนิวไฮต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ายังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอีกง
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นและตลาดหุ้นสหรัฐฯก็บวกด้วย แต่อาจหนุนตลาดบ้านเราไม่ได้มากนัก เพราะยังให้ความสำคัญกับปัจจัยในประเทศมากกว่า ซึ่งแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/64 ส่วนใหญ่จะออกมาดี แต่ตลาดฯก็ยังขาดปัจจัยหนุนสำคัญ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ติดลบเล็กน้อยมากราว 0.1-0.2% โดยยังต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายวัน, การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/64, MSCI Quarterly review ซึ่งจะประกาศในวันที่ 11 ส.ค.นี้ และวันนี้ก็ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมา
พร้อมให้แนวรับ 1,513-1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,535 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,064.25 จุด เพิ่มขึ้น 271.58 จุด ( +0.78%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,429.10 จุด เพิ่มขึ้น 26.44 จุด (+0.60%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,895.12 จุด เพิ่มขึ้น 114.58 จุด (+0.78%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,465.48 จุด ลดลง 1.07 จุด (-0.03%), ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,709.22 จุด ลดลง 18.90 จุด (-0.07%) และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,262.97 จุด เพิ่มขึ้น 58.28 จุด (+0.22%)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 ส.ค.) 1,527.66 จุด ลดลง 18.20 จุด (-1.18%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,074.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 ส.ค.64
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 ส.ค.) ปิด 69.09 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ส.ค.) อยู่ที่ 3.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.28 แนวโน้มยังอ่อนค่าจากปัจจัยใน-ตปท. จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ
- แบงก์ชาติเปิดผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ก.ค.64 วูบทุกกลุ่ม เหตุโควิดระบาดวงกว้าง-มาตรการควบคุมโรคเข้มงวด เผยภาคผลิต-บริการติดหล่มกำลังซื้ออ่อนแอ "ท่องเที่ยว-ก่อสร้าง" อาการหนัก 3 เดือนเจอวิกฤติสภาพคล่อง "สภาพัฒน์" เร่งทำแผนใช้งบฟื้นฟู 1.7 แสนล้านบาท ดันจ้างงาน สตาร์ทเครื่องยนต์เอสเอ็มอี-ท่องเที่ยว
- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในระยะ 2 เดือน (ก.ค.-ส.ค.) จะกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 5 แสนล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจลดลงอีก 2-3% จากที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงมีโอกาสที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้จะติดลบเหลือ -2 ถึง 0% ได้ เพราะรัฐบาลได้ขยายการล็อกดาวน์เดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สำคัญที่มีโรงงานอุตสาหกรรม หรือเป็นพื้นที่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเป็นสัดส่วนถึง 80% ของจีดีพี ทำให้เกิดการชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับที่กว้างขวางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว การค้า และโลจิสติกส์
- กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนก.ค.64 เท่ากับ 99.81 ลดลง 0.12% เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย.64 และเพิ่มขึ้น 0.45% เทียบกับ ก.ค.63 สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แต่เพิ่มในอัตราที่ชะลอตัวลงส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 7 เดือนของปี 64 (ม.ค.-ก.ค.) เพิ่มขึ้น 0.83% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักอาหารสดและพลังงานที่มีความผันผวนด้านราคาออก อยู่ที่ 100.50 เพิ่มขึ้น 0.03% เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย.64 และเพิ่มขึ้น 0.14% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.63 เฉลี่ย 7 เดือน เพิ่มขึ้น 0.26%
- นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ว่า ขณะนี้ รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยจะนำมาใช้สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ล่าสุด สศช. ได้หารือร่วมกับทีมเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะเริ่มดำเนินโครงการช่วยเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และหากสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว เศรษฐกิจเริ่มเดินหน้าได้ และควบคุมการระบาดได้ มีวัคซีนเข้ามาตามกำหนด อาจต้องหาวิธีการเร่งด่วนมาใช้ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับกระทบต่อไป
*หุ้นเด่นวันนี้
- INTUCH (แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) แนะนำ "ทยอยซื้อสะสม" ราคาเป้าหมาย 70 บาท/หุ้น วานนี้ GULF สรุปผลเทนเดอร์ 2747.9 ล้านหุ้น หรือ 23.32% เมื่อรวมกับหุ้นเดิมที่ถืออยู่ 18.93% ทำให้ GULF จะถือหุ้น 1,354.75 ล้านหุ้น หรือ 42.25% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 โดยผู้ถือหุ้นอันดับ 2 คือ Singtel Global Investment ถือหุ้น 673.3 ล้านหุ้น หรือ สัดส่วน 21% ผลบวกที่เห็นชัดเจนในขณะนี้ คือกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH เป็นสัญชาติไทย ซึ่งจะทำให้ประเด็นขัดแย้งเรื่องผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคม ทั้งกิจการมือถือ อินเตอร์เน็ต และกิจการดาวเทียมต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้นหมดไป
- ADVANC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 210 บาท คาดหวังมี Synergy ทางธุรกิจหลัง GULF ทำเทนเดอร์ INTUCH ได้ในสัดส่วนที่สูงถึง 42.25% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โดยสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ GULF และ ADVANC ร่วมพัฒนาธุรกิจกันมากขึ้นเป็น Story หนุน Sentiment การลงทุนในอนาคต
- SMT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8 บาท กำไรปกติ Q2/64 +30% Q-Q, +55% Y-Y ดีกว่าคาดจาก Margin ที่เร่งตัวขึ้นแรงได้ตามเป้าของผู้บริหาร ขณะที่รายได้ฟื้นตัวได้แข็งแกร่ง และโมเมนตัมกำไรจะเร่งตัวใน H2/64 ทั้ง Q3/64 และคาดทำจุดสูงสุดของปีใน Q4/64 โดยคำสั่งซื้อครอบคลุมถึงสิ้นปี และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าแรงเป็นบวก คาดกำไรปี 2564-2565 +175% Y-Y และ +33% Y-Y