นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนพิริยะ (TNP) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 คาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เพราะกลุ่มลูกค้าหลักยังเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ บวกกับอานิสงส์ จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ ทำให้ประชาชนยังมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย สินค้าสำหรับอุปโภคและบริโภค และคาดว่าในโค้งสุดท้ายของปี เศรษฐกิจน่าจะกลับมาฟื้นตัว จากการเดินหน้าฉีดวัคซีน และมาตรการการควบคุมการระบาดในปัจจุบัน
ขณะที่ยังตั้งเป้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายขยายสาขาในปีนี้จำนวน 5 สาขา ซึ่งที่ผ่านมาได้ขยายสาขาใหม่จำนวน 2 สาขาเป็นที่เรียบร้อย สนับสนุนให้ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 34 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 27 สาขา จังหวัดพะเยา 5 สาขา และจังหวัดเชียงใหม่ 2 สาขา ขณะเดียวกันในครึ่งปีหลังนี้จะขยายสาขาอีก 3 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้มากที่สุด และคาดว่าสิ้นปีจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 37 สาขา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ในปีนี้
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 604.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 17.63% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 43.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.79 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 56.10% เนื่องจากกลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในทำเลที่มีศักยภาพ โดยในงวดไตรมาส 2 TNP มีสาขาจำนวน 34 สาขา และได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการต่างๆ รวมถึง ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ประชาชนกักตุนซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโต 8.2%
ทั้งนี้ยังสนับสนุนให้งวด 6 เดือนแรกปี 64 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 1,356.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 294.91 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 27.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรขั้นต้น 230.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.64 ล้านบาท หรือเติบโต 35% และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 100.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.25 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 69.09% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 16.96% และอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.40% จากการเติบโตของยอดขายผ่านสาขา และการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่ารายได้จากการขายส่งของสำนักงานใหญ่และการได้รับค่าสนับสนุนการขายจากผู้จำหน่ายซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทฯ มีการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่อง