นายวิชัย ชุณหสมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและการคลัง บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดค่าการกลั่นของตลาดในไตรมาส 3/64 จะกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คล้ายกับช่วงไตรมาส 1/64 ที่อยู่ในระดับ 3.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังไตรมาส 2/64 ลดลงมาที่ 2.65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากส่วนเพิ่มของราคาน้ำมันดิบ (Crude Premiums) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลระทบให้สัดส่วนการขายลดน้อยลง
ทั้งนี้ แนวโน้ม Crude Premiums ในช่วงปลายไตรมาส 3/64 จะเริ่มทรงตัว และคงไม่เพิ่มสูงขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว ขณะที่ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ (Crack Spread) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 12.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 9.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นต้น เป็นผลมาจากความต้องการใช้ในฝั่งอเมริกาปรับตัวดีขึ้น หลังทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้แพร่หลายจนกลับมาใช้ชีวิตปกติ รวมถึงจีนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินและดีเซลลง ทำให้สต็อกของ สิงคโปร์ดูดีขึ้น จึงคาดว่าค่าการกลั่นไตรมาส 3/64 จะกลับมาอยู่ในระดับปกติได้
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปี 64 คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นผลมาจากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลของประเทศสหรัฐหลังจากกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ประกอบกับซัพพลายที่เพิ่มขึ้น 91.6 ล้านบาร์เรล/วัน หลังโอเปกพลัสจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันราว 4 แสนบาร์เรล/วันเริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.นี้ไปจนถึงสิ้นปี 64 ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 70-75 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ความคืบหน้าของการศึกษาการลงทุนในโครงการอัพเกรดน้ำมันที่เหลือจากการกลั่น-น้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูง หรือโครงการที่เกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซ และการอัพเกรดผลิตภัณฑ์มูลค่าต่ำ (high value product) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2 แล้ว บริษัทฯ ยอมรับว่า จะต้องชะลอการลงทุนดังกล่าวออกไปก่อน (Push on hold) เนื่องจากเมื่อศึกษาแล้วพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้และไม่มีแรงจูงใจมากพอ จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เช่น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย, ข้อมูลใหม่มาดีขึ้น, ราคาผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง, ต้นทุนที่แท้จริงต่ำลง และผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่า 15% บริษัทก็จะกลับมาศึกษาใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งอยู่ใน Value Chain โรงกลั่น ราว 4-5 โครงการ โดยมองถึง Energy Transition ในอนาคต และคงอยู่ได้นาน (Sustainability)
นายวิชัย กล่าวถึงโอกาสการกลับมาจ่ายเงินปันผลว่า จะต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ การมีกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล, อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ราว 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และการลดค่าใช้จ่ายลงอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ผลประกอบการกลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกัน บริษัทก็คาดว่าจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ เนื่องด้วยปัจจุบันมาร์จิ้นก็อยู่ในระดับที่ดี รวมถึงซัพพลาย และดีมานด์การใช้น้ำมันก็อยู่ในระดับที่สมดุล แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยง คือ สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังต้องจับตาดูอยู่
ปัจจุบัน บริษัทมีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับงวดการดำเนินงานตั้งแต่ 1 ม.ค.64 ถึง 30 มิ.ย.64 เนื่องจากยังคงมีผลขาดทุนสะสมราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงมาแล้วเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนที่อยู่ที่ 109-110 ล้านเหรียญสหรัฐ